Pet Guide | mumuhttps://www.mumupetguide.com/blog/2020-10-24T17:50:30+00:00Mumu will gather useful information for your pets here.สัตวแพทย์จุฬาฯ แนะวิธีเตรียมตัวสัตว์เลี้ยงก่อนไปทำหมัน2020-10-24T17:47:09+00:002020-10-24T17:50:30+00:00mumuhttps://www.mumupetguide.com/blog/author/mumu/https://www.mumupetguide.com/blog/%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%AC%E0%B8%B2%E0%B8%AF-%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%99/<p style="text-align: left;"><span>เป็นที่ทราบดีโดยทั่วกันอยู่แล้วว่าวิธีการคุมกำเนิดในสัตว์เลี้ยงด้วยการทำหมันนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงควรทำ เพราะนอกจากจะปลอดภัยกว่าการใช้ยาคุมกำเนิดแล้ว ยังช่วยลดการเกิดปัญหาด้านสุขภาพต่าง ๆ ได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น โรคมดลูกอักเสบ โรคต่อมลูกหมากโต เป็นต้น </span></p>
<p style="text-align: left;"><span>.</span></p>
<p style="text-align: left;"><span>โดย สพ.ญ. ธิติดา ภักดีเสน่หา สัตวแพทย์แผนกสูติกรรม โรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะมาแนะนำเกี่ยวกับการทำหมันในสัตว์เลี้ยง และการเตรียมตัวก่อนการทำหมัน ในโครงการ Smart Vet Smart Society โดยความร่วมมือของ โรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สมาร์ทฮาร์ท บริษัท โซเอทิส (ประเทศไทย) จำกัด และ Application สำหรับสัตว์เลี้ยง MUMU Petguide กับเรื่องราวน่ารู้ในการเลี้ยงสัตว์ มาฝากเจ้าของสัตว์เลี้ยงทุกคน</span></p>
<p style="text-align: left;">.</p>
<p style="text-align: left;"><span>การผ่าตัดทำหมัน เป็นวิธีการคุมกำเนิดสุนัขและแมวอย่างถาวรที่ดีที่สุด สามารถทำได้ทั้งสัตว์เลี้ยงเพศผู้และเพศเมีย โดยในเพศผู้จะทำการผ่าตัดอัณฑะทั้ง 2 ข้างออก (Castration) และในเพศเมียนิยมผ่าตัดออกทั้งรังไข่ และมดลูก Ovariohysterectomy (OVH)</span></p>
<p style="text-align: left;">.</p>
<p style="text-align: left;"><b>ช่วงอายุที่เหมาะสม </b></p>
<p style="text-align: left;"><span>โดยปกติสุนัขเพศเมียจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ที่อายุประมาณ 6-9 เดือน และ 4-12 เดือน ในแมวเพศเมีย สำหรับในสุนัขและแมวเพศผู้นั้นจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุประมาณ 6-7 เดือน โดยเราสามารถทำหมันก่อนวัยเจริญพันธุ์ได้ตั้งแต่สัตว์เลี้ยงอายุ 3 เดือนขึ้นไป และไม่แนะนำให้ทำการผ่าตัดที่อายุน้อยกว่านี้เนื่องจากจะมีความเสี่ยงในการวางยาสลบสูง </span></p>
<p style="text-align: left;">.</p>
<p style="text-align: left;"><b>ขั้นตอนการเตรียมตัวสัตว์ก่อนการผ่าตัด</b></p>
<ul style="text-align: left;">
<li><span>พาสัตว์เลี้ยงมาพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจสภาพร่างกาย </span></li>
<ul>
<li><span>ร่างกายแข็งแรง</span></li>
<li><span>สุนัขเพศเมียต้องไม่อยู่ในช่วงแสดงอาการเป็นสัด เนื่องจากจะมีความเสี่ยงในการเสียเลือดจากการผ่าตัดมากกว่าปกติ</span></li>
<li><span>สัตว์เลี้ยงต้องไม่อยู่ในช่วงตั้งท้อง</span></li>
</ul>
<li><span>ตรวจเลือดก่อนผ่าตัด</span></li>
<li><span>ตรวจเพิ่มเติมตามสมควร เช่น X-ray Ultrasound EKG </span></li>
<li><span>งดน้ำและอาหารก่อนทำการผ่าตัดอย่างน้อย 8-12 ชม.</span></li>
</ul>
<p><span>.</span></p>
<p style="text-align: left;"><b>การดูแลหลังผ่าตัด</b></p>
<ul style="text-align: left;">
<li><span>หลังผ่าตัดให้สัตว์อยู่ในที่อบอุ่น </span></li>
<li><span>ให้นอนในท่าที่หายใจสะดวก ไม่ให้สัตว์นอนคอพับ</span></li>
<li><span>พาสัตว์เลี้ยงไปทำแผลและฉีดยาลดปวดหลังผ่าตัดติดต่อกันอย่างน้อย 2-4 วัน</span></li>
<li><span>แผลผ่าตัดจะหายเป็นปกติและสามารถตัดไหมได้ภายใน 7-10 วันหลังผ่าตัด</span></li>
<li><span>ป้องกันสัตว์เลี้ยงไม่ให้เลียแทะแผล โดยการใส่</span> <span>elizabethan collar หรือใส่เสื้อเพื่อป้องกันแผลผ่าตัด</span></li>
<li><span>ป้องกันไม่ให้แผลเปียกน้ำ</span></li>
</ul>
<p><span>.</span></p>
<p style="text-align: left;"><b>ประโยชน์ของการทำหมัน</b></p>
<ul style="text-align: left;">
<li><span>เป็นการคุมกำเนิดแบบถาวรจึงช่วยคุมประชากรและช่วยลดปัญหาสุนัขจรจัด</span></li>
<li><span>ช่วยลดอุบัติการการเกิดโรคพิษสุนัขบ้าและโรคติดเชื้อไวรัสอื่นๆ ที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้กันในช่วงติดสัด</span></li>
<li><span>ช่วยป้องกันโรคที่ติดต่อจากการผสมพันธุ์ เช่น แท้งติดต่อ brucellosis , มะเร็งชนิด VG </span></li>
<li><span>ป้องกันโรคและความผิดปกติทางระบบสืบพันธุ์ เช่น มดลูกอักเสบ, เนื้องอกรังไข่, ถุงน้ำที่รังใข่และมดลูกในสัตว์เลี้ยงเพศเมีย, เนื้องอกอัณฑะในสัตว์เพศผู้ และโรคต่อมลูกหมากโต Benign Prostatic Hypertrophy (BPH) ในสุนัขเพศผู้</span></li>
<li><span>ลดโอกาสการเกิดโรคทางระบบสืบพันธุ์ เช่น เนื้องอกช่องคลอดในสัตว์เพศเมีย ,และการเกิดเนื้องอกเต้านมในสัตว์เพศเมียโดยจะลดโอกาสได้มากเมื่อทำหมันก่อนการเป็นสัดครั้งแรก</span></li>
<li><span>ลดความรำคาญจากเสียงร้องในช่วงติดสัดของแมวเพศเมีย</span></li>
<li><span>ลดพฤติกรรมการปัสสาวะเพื่อแสดงอาณาเขตของสุนัขและแมวเพศผู้</span></li>
<li><span>ลดพฤติกรรมการหนีเที่ยวนอกบ้านของสัตว์เลี้ยงเมื่อเข้าสู้วัยเจริญพันธุ์</span></li>
</ul>
<p><span>.</span></p>
<p style="text-align: left;"><b>ผลข้างเคียงจากการทำหมัน</b></p>
<ul>
<li style="text-align: left;"><b>น้ำหนักตัวของสัตว์เลี้ยงที่จะเพิ่มขึ้น (Overweight)</b><span> ภายหลังการผ่าตัดทำหมันเนื่องจากระบบเผาผลาญมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก และความอยากอาหารมากขึ้นโดยในเฉพาะสุนัขเพศเมีย เจ้าของสัตว์ควรคำนึงถึงเรื่องของอาหารควรปรับโภชนาการให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของสุนัขภายหลังการผ่าตัดและเพิ่มการออกกำลังกายของสัตว์เลี้ยงให้มากขึ้น</span></li>
<li style="text-align: left;"><b>ภาวะปัสสาวะเล็ดหลังทำหมัน (Urinary Incontinence)</b><span><br/></span><span>ซึ่งอาจพบได้ 5-20% ในสุนัขเพศเมียที่ทำหมันแล้ว โดยเฉพาะสุนัขที่มีน้ำหนักมากกว่า 20 กิโลกรัม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหลังการทำหมันส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของผนังกระเพาะปัสสาวะ หูรูด และท่อปัสสาวะ ทำงานได้ไม่สมบูรณ์เหมือนเดิมจึงมีผลต่อการควบคุมปัสสาวะ </span></li>
</ul>
<p><span>.</span></p>สัตวแพทย์จุฬาฯ เผย สาเหตุที่แมวขับถ่ายไม่เป็นที่2020-10-12T15:10:47+00:002020-10-12T15:10:47+00:00mumuhttps://www.mumupetguide.com/blog/author/mumu/https://www.mumupetguide.com/blog/%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%AC%E0%B8%B2%E0%B8%AF-%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%97%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B8%9A%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%99%E0%B8%97/<p style="text-align: left;"><span>ปัญหาการขับถ่ายไม่เป็นที่ของแมว ถือเป็นหนึ่งในปัญหาที่เจอได้มากที่สุดสำหรับเจ้าของแมว ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อสุขอนามัยที่ดีต่อผู้เลี้ยง และทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน จากสิ่งที่แมวปัสสาวะ อุจจาระนั้นมักไปเลอะตามวัสดุที่มีลักษณะเป็นผ้า ที่สำคัญยังทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เลี้ยงและแมวแย่ลงในท้ายที่สุดด้วย</span></p>
<p style="text-align: left;"><span>.</span></p>
<p style="text-align: left;"><span>วันนี้ น.สพ. ภคพล ฟู่เจริญ จาก คลินิกพฤติกรรมสัตว์ โรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะมาเผยถึงสาเหตุที่ทำให้แมวขับถ่ายไม่เป็นที่ กับโครงการ Smart Vet Smart Society โดยความร่วมมือของ โรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สมาร์ทฮาร์ท บริษัท โซเอทิส (ประเทศไทย) จำกัด และ Application สำหรับสัตว์เลี้ยง MUMU Petguide กับเรื่องราวน่ารู้ในการเลี้ยงสัตว์ มาฝากเจ้าของสัตว์เลี้ยงทุกคน</span></p>
<p style="text-align: left;"><span>.</span></p>
<p style="text-align: left;"><span>#สาเหตุของการที่ทำให้แมวขับถ่ายไม่เป็นที่</span></p>
<p style="text-align: left;"><span>.</span></p>
<p style="text-align: left;"><span>#ปัญหาสุขภาพ : ก่อนที่จะบอกว่าการขับถ่ายไม่เป็นที่นั้นมีปัญหาโดยตรงมาจากพฤติกรรม #ควรทำการตรวจสุขภาพร่างกายให้เรียบร้อยก่อน ว่ามีความผิดปกติ เช่น โรคไต กระเพาะปัสสาวะอักเสบ การเสื่อมสภาพของสมอง หรือความเจ็บปวด หรือไม่ #เพราะปัญหาสุขภาพนั้นสามารถส่งผลให้เกิดการขับถ่ายไม่เป็นที่ได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น แมวสูงอายุที่ปกติดีไม่มีปัญหาอะไร อยู่มาวันนึงก็ขับถ่ายไม่เป็นที่ ก็ควรจะมีการตรวจสุขภาพเบื้องต้นก่อนว่าการทำงานของอวัยวะภายในเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าเกิดว่ามีความเจ็บปวดตามข้อกระดูก ก็อาจจะทำให้ไม่อยากจะก้าวเข้าไปในกระบะทรายที่มีความสูงกว่าการเดินปกติก็ได้ เมื่อมันไม่สามารถขับถ่ายได้ตามปกติเพราะไม่อยากจะเข้าไปในพื้นที่เดิมแต่การสะสมของปัสสาวะยังคงเพิ่มอย่างต่อเนื่องในร่างกาย ก็ทำให้ถึงจุดที่ทนไม่ไหวแล้วปล่อยออกมา</span></p>
<p style="text-align: left;"><span>.</span></p>
<p style="text-align: left;"><span>#ปัญหาพฤติกรรม : อาจจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ขับถ่ายไม่เป็นที่ก็ได้ หรือบางกรณีอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพเสียเลยด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม #การรักษาแก้ไขด้านพฤติกรรมนั้นก็จำเป็นที่จะต้องดูการจัดการและสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย มากกว่าการที่จะเปลี่ยนแปลงที่วินัยการเรียนรู้และสภาพจิตใจของสัตว์เพียงอย่างเดียว การจัดการที่สำคัญอย่างแรกคือ #จำนวนกระบะทราย โดยที่จำนวนกระบะทรายที่ควรมีนั้นควรจะมีเท่ากับ จำนวนแมว+1 ถ้าบ้านไหนมีแมวทั้งหมด 3ตัว ก็ควรจะมีกระบะทราย 4 ชิ้น (3+1) นอกจากจำนวนแล้วสถานที่ตั้งของกระบะทรายก็มีความสำคัญเช่นกัน กล่าวคือถึงแม้จะมีปริมาณเพียงพอตามสูตรแล้ว ก็ไม่ควรที่จะวางติดๆกันในพื้นที่เดียวหรือห้องเดียว แต่ควรวางไว้หลายๆจุด ต่างชั้น ต่างห้อง ในบ้าน #และปัจจัยเรื่องการเข้าออกของแมวแต่ละตัวในบ้าน (กรณีที่เลี้ยงแมวหลายตัว) ก็ควรจะคำนึงและดูความสัมพันธ์ของแมวแต่ละตัวในบ้านด้วย เพราะถ้ามีแมวคู่ใดที่มักจะทะเลาะกันก็สามารถทำให้แมวตัวที่ถูกรังแกพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับแมวที่เป็นฝ่ายโจมตีได้ ส่วนปัจจัยสุดท้ายในเรื่องของการจัดการก็คือทรายแมว ซึ่งโดยปกติแล้วจะแนะนำว่าแมวที่เลี้ยงใช้ทรายชนิดไหน กลิ่น สัมผัสแบบไหนอยู่แล้วก็ให้ใช้ไปตลอด เพราะการเปลี่ยนแปลงมีโอกาสที่เค้าจะไม่ชอบลักษณะเฉพาะของทรายแมวอันใหม่ก็เป็นไปได้</span></p>
<p style="text-align: left;"><span>.</span></p>
<p style="text-align: left;"><span>#ปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม : ก็ถือว่าเป็นส่วนนึงของการจัดการ เพียงแต่เป็นการจัดการส่วนที่นอกเหนือจากตัวอุปกรณ์เครื่องใช้สำหรับแมวโดยตรง ถ้าเกิดรอบบริเวณที่เลี้ยงมีแมวจรที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หรือแมวศัตรูที่อยู่ในละแวกบ้านก็อาจจะทำให้เกิดการขับถ่ายไม่เป็นที่ได้ในลักษณะของการ สเปรย์ (Spray) มากกว่าที่จะเป็นการขับถ่ายไม่เป็นที่ (House soiling) ส่วนนี้เองที่ทำให้การจัดการด้านสิ่งแวดล้อมนั้นจะเข้ามามีบทบาทไม่ว่าจะเป็นป้องกันการเข้ามาของแมวจร ป้องกันไม่ให้แมวมองเห็นกันและกัน และการสร้างความสัมพันธ์อันใดระหว่างแมวที่เลี้ยงอาศัยอยู่ด้วยกันในบ้าน</span></p>
<p style="text-align: left;"><span>.</span></p>
<p style="text-align: left;"><span>#วิธีการป้องกันที่สำคัญ : ก็คือ #การจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับแมวให้พร้อมก่อนที่จะเกิดปัญหา พร้อมกับ #การประเมินสิ่งแวดล้อมรอบบ้านว่ามีความเสี่ยงหรือไม่ นอกจากนี้ยังพบว่า #การทำหมันนั้นมีส่วนช่วยสำคัญในการลดการขับถ่ายไม่เป็นที่ อันเนื่องมาจากการแสดงอาณาเขตหรือติดต่อสื่อสารกับแมวตัวอื่นได้อย่างมีนัยสำคัญ</span></p>
<p style="text-align: left;"><span>.</span></p>
<p style="text-align: left;"><span><img alt="" height="774" src="https://www.mumupetguide.com/media/uploads/.thumbnails/%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%96%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-01.jpg/%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%96%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-01-774x774.jpg" style="display: block; margin-left: auto; margin-right: auto;" width="774"/></span></p>
<p style="text-align: left;"><span>.</span></p>สัตวแพทย์ จุฬาฯ เผย สาเหตุของการเกิดขนร่วงที่พบได้บ่อยในสุนัข2020-10-05T16:53:20+00:002020-10-05T16:54:48+00:00mumuhttps://www.mumupetguide.com/blog/author/mumu/https://www.mumupetguide.com/blog/%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B8%88%E0%B8%AC%E0%B8%B2%E0%B8%AF-%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%82/<p style="text-align: left;"><span>หนึ่งในปัญหาสุขภาพของสุนัขที่เจ้าของพบได้บ่อยก็คือเรื่อง ขนร่วง วันนี้ </span><b>น.สพ. ศิววัชร์ พานิชอนันต์กิจ</b><span> สัตวแพทย์ประจำคลินิกโรคผิวหนังโรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ จะมาเผยถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาขนร่วงในสุนัข หนึ่งในกิจกรรมของโครงการ Smart Vet Smart Society โดยโรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สมาร์ทฮาร์ท โซเอทิส และ application สำหรับสัตว์เลี้ยง MUMU Petguide เพื่อส่งเสริมสุขภาพสัตว์เลี้ยงให้ดีขึ้น</span></p>
<p style="text-align: left;">.</p>
<p style="text-align: left;"><span>ขนร่วง หรือ Alopecia คือภาวะที่ขนมีการหลุดร่วงจากรุขุมขน หรือ การแตกหักของเส้นขน โดยตามปกติ สุนัขจะมีการผลัดขนจากรูขุมขน ตามวงรอบของการสร้างขนอยู่แล้ว แต่ในบางครั้งขนที่หลุดร่วงมากเกินไปจนทำให้ขนบางอาจมีสาเหตุได้จาก</span></p>
<ol style="text-align: left;">
<li><b>การอักเสบของรูขุมขน (Folliculitis) </b><span>เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย (Pyoderma) เชื้อรา (Dermatophytosis) ไรขี้เรื้อนรูขุมขน (Demodicosis) ทำให้ขนร่วงจากภาวะรูขุมขนอักเสบ และผิวหนังโดยรอบมักจะพบการอักเสบร่วมด้วย </span></li>
<li><b>ภาวะที่ทำให้เส้นขนมีการแตก หัก </b><span>เช่น จากการ แทะ เลีย (Traumatic removal) หรือเกาตัวของสุนัข จากอาการคัน เช่น ภาวะภูมิแพ้จากสิ่งแวดล้อม แพ้อาหาร แพ้น้ำลายหมัดและปรสิตภายนอก เช่น ยุง เห็บ เหา ไร </span></li>
<li><b>ความไม่สมดุลของฮอร์โมนจากโรคระบบต่อมไร้ท่อ และความผิดปกติทางพันธุกรรม (Hormonal imbalance and genetic disorder )</b><span> ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นความผิดปกติต่อการงอกขึ้นใหม่ของขน เช่น โรคต่อมหมวกไตทำงานผิดปกติ (Cushing’s Syndrome) ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง รวมถึงโรคทางพันธุกรรมที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดเช่น โรค Black skin (Alopecia X) โรคขนไม่ขึ้นหลังจากตัดขน (Post clipping alopecia) ความผิดปกติของเม็ดสีในสุนัขขนสีอ่อน (Colour dilution alopecia)</span></li>
<li><b>สาเหตุอื่นๆ</b><span> เช่น สารอาหารไม่สมดุล ความเครียด ไข้สูง ช็อค ตั้งท้อง หรือการได้รับยาบางประเภท เช่น เคมีบำบัดกลุ่ม Doxorubicin ภาวะ ขนร่วงและผิวหนังอักเสบหลังฉีดวัคซีน ภาวะขนร่วงหลังคลอด ภาวะขนร่วงเป็นวงรอบโดยไม่ทราบสาเหตุ (Cyclic flank alopecia) </span></li>
</ol>
<p>.</p>
<p></p>
<p><img alt="" height="797" src="https://www.mumupetguide.com/media/uploads/.thumbnails/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%82.jpg/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%82-797x797.jpg" style="display: block; margin-left: auto; margin-right: auto;" width="797"/></p>
<p>.</p>
<p>.</p>
<p style="text-align: left;"></p>สัตวแพทย์จุฬาฯ แนะนำวิธีการอาบน้ำสุนัขที่เหมาะสมในหน้าฝน2020-10-05T16:36:57+00:002020-10-05T16:44:31+00:00mumuhttps://www.mumupetguide.com/blog/author/mumu/https://www.mumupetguide.com/blog/%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%AC%E0%B8%B2%E0%B8%AF-%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%A7%E0%B8%98%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%9D%E0%B8%99-1/<p style="text-align: left;"><span>ฝนมาแบบนี้ ในบางครั้งเจ้าของสัตว์เลี้ยงอาจจะต้องคอยอาบน้ำให้กับสุนัขบ่อยกว่าเคย หากสุนัขตัวซนไปเล่นน้ำฝนจนตัวเปียกเลอะเทอะกลับมาบ้าน แต่รู้หรือไม่ว่าหากเจ้าของสุนัขอาบน้ำ และเป่าขนไม่ดี อาจทำให้เกิดความอับชื้น จนส่งผลให้เกิดปัญหาโรคผิวหนังตามมาได้ </span></p>
<p style="text-align: left;"><span>.</span><span><br/></span><span>วันนี้ สพ.ญ. ภาพิชญ์ แต่เจริญ สัตวแพทย์ประจำคลินิกผิวหนัง โรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาแนะนำถึงวิธีการอาบน้ำสุนัขให้สะอาดรับหน้าฝน กับโครงการ Smart Vet Smart Society โดยความร่วมมือของ โรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สมาร์ทฮาร์ท บริษัท โซเอทิส (ประเทศไทย) จำกัด และ Application สำหรับสัตว์เลี้ยง MUMU Petguide กับเรื่องราววิธีการเลี้ยงสัตว์ที่ถูกต้อง มาฝากเจ้าของสัตว์เลี้ยงทุกคน</span></p>
<p style="text-align: left;"><span>.</span></p>
<p style="text-align: left;"><b>อุปกรณ์ที่ใช้ </b></p>
<ol style="text-align: left;">
<li><span>แชมพูอาบน้ำ ควรเป็นแชมพูสำหรับสัตว์เลี้ยงโดยตรง ไม่ควรใช้แชมพูคน เนื่องจากสภาพผิวหนังแตกต่างกันจะทำให้เกิดโรคผิวหนังตามมาได้</span></li>
<li><span>สำลีก้อน สำหรับอุดช่องหู ป้องกันน้ำเข้าหู</span></li>
<li><span>หวีแปรง สำหรับสายพันธุ์ขนยาว </span></li>
<li><span>ผ้าขนหนู</span></li>
<li><span>ไดร์เป่าขน</span></li>
</ol>
<p style="text-align: left;"></p>
<p style="text-align: left;"><b>ขั้นตอนการอาบน้ำสุนัข</b></p>
<ol style="text-align: left;">
<li><span>นำสำลีอุดหูสุนัขทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันน้ำเข้าหูขณะอาบน้ำ</span></li>
<li><span>ค่อย ๆ ฉีดน้ำอุ่นลงบนตัวสัตว์เลี้ยง โดยเริ่มจากบริเวณขาทั้ง 4 ก่อน แล้วไล่ขึ้นไปด้านบนลำตัวสุนัข เพื่อให้สุนัขปรับตัวกับอุณหภูมิน้ำ ระวังมิให้น้ำเข้าตา/จมูก </span></li>
<li><span>ชโลมแชมพูลงไปบนตัวสุนัข โดยเทแชมพูลงบนฝ่ามือผู้อาบก่อน จากนั้นจึงค่อย ๆ ถูลงบนตัวสุนัขจนทั่วโดยเฉพาะจุดอับชื้นต่าง ๆ เช่น ซอกนิ้ว อุ้งเท้า รักแร้ รอบ ๆ ก้น และใบหู เป็นต้น </span></li>
<li><span>บริเวณหน้า และรอบตา ใช้น้ำเปล่าเช็ดทำความสะอาด ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้แชมพูเข้าตา จมูกและปาก</span></li>
<li><span>เมื่อถูแชมพูจนทั่วตัวแล้ว ใช้น้ำอุ่นฉีดล้างตัวสุนัข 2-3 รอบ จนสะอาด ไม่เหลือฟองบนตัวสุนัข </span></li>
<li><span>ใช้ผ้าขนหนูเช็ดให้ทั่วตัว จากนั้นใช้ไดร์เป่าขนจนแห้งสนิท ควรใช้ลมอุ่นและให้ไดร์ห่างจากตัวสุนัขประมาณ 20 เซนติเมตร เพื่อไม่ให้ร้อนจนเกินไป กรณีสุนัขพันธุ์ขนยาวและหนา ต้องเป่าขนให้แห้งสนิททั้งด้านในและด้านนอก เนื่องจากความอับชื้นอาจก่อให้เกิดโรคผิวหนังตามมาได้ </span></li>
</ol>
<p style="text-align: left;"></p>
<p style="text-align: left;"><span>หากพบว่าสุนัขมีอาการคัน หรือผิวหนังเกิดความผิดปกติ ควรพาไปพบสัตวแพทย์</span></p>
<p style="text-align: left;">.</p>โรคลมแดด (Heat stroke) จัดการก่อนสาย ป้องกันก่อนเป็นอันตรายถึงชีวิต2020-10-05T16:26:35+00:002020-10-05T16:35:05+00:00mumuhttps://www.mumupetguide.com/blog/author/mumu/https://www.mumupetguide.com/blog/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%94-heat-stroke-%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B8%95/<p style="text-align: left;"><span>ในภาวะที่อากาศบ้านเราร้อนจัดเช่นในช่วงนี้ สิ่งที่เจ้าของน้องหมาค่อนข้างเป็นกังวลไม่แพ้เรื่องไหน ๆ ก็เห็นจะเป็นปัญหาเรื่อง </span><b>โรคลมแดด (Heat stroke)</b><span> ดังนั้นเจ้าของสัตว์เลี้ยงจึงควรที่จะทราบถึงวิธีการปฐมพยาบาลโรคนี้อย่างถูกวิธี เพราะโรคนี้อาจส่งผลให้น้องหมาเสียชีวิตได้เลย</span></p>
<p style="text-align: left;">.</p>
<p style="text-align: left;"><span>โครงการ Smart Vet Smart Society โดยโรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สมาร์ทฮาร์ท โซเอทิส และ application สำหรับสัตว์เลี้ยง MUMU Petguide เพื่อส่งเสริมสุขภาพสัตว์เลี้ยง และวิธีการเลี้ยงสัตว์ให้ดีขึ้น ได้แนะนำวิธีการการปฐมพยาบาลสุนัขที่มีภาวะลมแดด โดย </span><b>สพ.ญ. วลัยพร เรืองชัยปราการ </b><b>หน่วยเวชศาสตร์ฉุกเฉินและหออภิบาลสัตว์ป่วยวิกฤต โรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย</b><span> มาให้คำแนะนำที่สามารถไปใช้จริงกับสัตว์เลี้ยงของท่านได้</span></p>
<p style="text-align: left;">.</p>
<p style="text-align: left;"><strong>การปฐมพยาบาลสุนัขที่มีภาวะ Heatstroke </strong></p>
<p><span></span>.</p>
<p><span><img alt="" height="763" src="https://www.mumupetguide.com/media/uploads/.thumbnails/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%82%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B0_heatstroke-03.png/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%82%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B0_heatstroke-03-763x763.png" style="display: block; margin-left: auto; margin-right: auto;" width="763"/></span></p>
<p>.</p>
<ol>
<li style="text-align: left;"><span> ย้ายสุนัขออกจากบริเวณที่มีอากาศร้อน ไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อากาศปลอดโปร่ง มีร่มเงา หรืออยู่ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ</span></li>
</ol>
<ol start="2" style="text-align: left;">
<li><span> หากสุนัขสวมใส่เสื้ออยู่ ให้ถอดเสื้อออกจากตัวสุนัข</span></li>
</ol>
<ol start="3" style="text-align: left;">
<li><span> เช็ดตัวลดไข้ โดยใช้น้ำ</span><b>อุณหภูมิปกติ</b><span>เช็ดตัวสุนัข เน้นบริเวณปลายเท้า ขาหนีบ และใบหู </span></li>
</ol>
<p style="text-align: left;"><span> คำแนะนำเพิ่มเติม : </span></p>
<p style="text-align: left;"><span> - ไม่ควรใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็งเช็ดตัว </span></p>
<p style="text-align: left;"><span> - ไม่ควรห่มผ้าให้สุนัข เพราะจะเป็นการกักเก็บความร้อนไว้ในร่างกาย </span></p>
<p style="text-align: left;"><span> - อย่าให้ยาลดไข้แอสไพรินหรือพาราเซตามอลแก่สุนัข</span></p>
<ol start="4" style="text-align: left;">
<li><span> เปิดพัดลมจ่อที่ตัวสุนัข เพื่อช่วยระบายความร้อน และลดอุณหภูมิในร่างกายของสุนัข</span></li>
</ol>
<ol start="5">
<li style="text-align: left;"><span> เช็ดตัวและดูอาการ ถ้ามีปรอทให้ใช้ปรอทวัดอุณหภูมิของสุนัขซ้ำเป็นระยะ ถ้าอุณหภูมิร่างกายของสุนัขไม่ลดลง หรือสุนัขมีอาการแย่ลงหรือหอบมากขึ้น ให้รีบนำสุนัขไปพบสัตวแพทย์ทันที</span></li>
</ol>
<p>.</p>สัตวแพทย์ จุฬาฯ แนะวิธีลดความเครียดในแมว2020-10-05T15:29:51+00:002020-10-05T16:32:33+00:00mumuhttps://www.mumupetguide.com/blog/author/mumu/https://www.mumupetguide.com/blog/%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B8%88%E0%B8%AC%E0%B8%B2%E0%B8%AF-%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%98%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A7/<p style="text-align: left;"><span>น้องแมวจัดว่าเป็นสัตว์เลี้ยงที่เกิดความเครียดได้ง่าย เพียงแค่มีคนแปลกหน้า หรือเปลี่ยนสถานที่อยู่ ก็สามารถสร้างความเครียดให้กับน้องแมวได้แล้ว วันนี้ </span><b>สพ</b><b>.</b><b>ญ</b><b>.</b><b>ศิวพร เพ่งพิศ</b><b><span> </span>ศูนย์โรคแมวเพื่อความเป็นเลิศ โรงพยาบาลสัตว์เล็กคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย</b><span> </span><span>จะมาเผยเคล็ดไม่ลับ ที่จะช่วยลดความเครียดให้กับน้องแมวของคุณ กับกิจกรรมของโครงการ Smart Vet Smart Society โดยโรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สมาร์ทฮาร์ท โซเอทิส และ application สำหรับสัตว์เลี้ยง MUMU Petguide เพื่อส่งเสริมสุขภาพสัตว์เลี้ยง และวิธีการเลี้ยงสัตว์ให้ดีขึ้น</span></p>
<p style="text-align: left;">.</p>
<ul>
<li style="text-align: left;"><span>ลดความเครียดในบ้าน ด้วยการเตรียมถาดน้ำ ถาดอาหาร กระบะทรายที่เพียงพอและสะอาดอยู่เสมอ รวมถึงมีของเล่นหรือบริเวณที่ทำให้แมวรู้สึกสงบ</span></li>
<li style="text-align: left;"><span>มีเวลาให้แมวทำความคุ้นเคยกับเจ้าของ โดยการสัมผัสหรือเล่นกับแมวด้วยสิ่งที่แมวชอบ</span></li>
<li style="text-align: left;"><span>ให้แมวค่อยๆทำความคุ้นเคยกับคนแปลกหน้าหรือสัตว์เลี้ยงที่รับมาอยู่ใหม่</span></li>
<li style="text-align: left;"><span>ไม่เลี้ยงสัตว์หนาแน่นจนเกินไป ควรมีบริเวณให้แมวเดินเล่น ปีนป่าย หรือหน้าต่างสำหรับนั่งผ่อนคลาย</span></li>
<li style="text-align: left;"><span>หมั่นดูแลสุขภาพของแมวเป็นประจำ เช่น ทำวัคซีน ถ่ายพยาธิ ป้องกันปรสิตภายนอก ความสะอาดของขนและเล็บ</span></li>
<li style="text-align: left;"><span>ลดความเครียดจากการพาแมวไปโรงพยาบาลสัตว์ หรือคลินิก โดยการหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีสุนัขหรือบริเวณที่มีเสียงดัง และนำสิ่งของที่แมวใช้เป็นประจำติดตัวไปด้วย</span></li>
<li style="text-align: left;"><span>หมั่นสังเกตพฤติกรรมของแมว เพื่อใช้เป็นข้อมูลที่อาจบ่งบอกถึงสภาวะความเครียดหรืออาการเจ็บป่วย</span></li>
</ul>
<p><span>.</span></p>
<p><span></span></p>
<p><span><img alt="" height="738" src="https://www.mumupetguide.com/media/uploads/.thumbnails/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A7-01%281%29.jpg/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A7-01%281%29-703x738.jpg" style="display: block; margin-left: auto; margin-right: auto;" width="703"/></span></p>
<p style="text-align: left;">.</p>เลี้ยงแมวไปด้วย เลี้ยงลูกไปด้วยได้หรือไม่? เตรียมตัวเลี้ยงแมวไปพร้อมกับเลี้ยงลูก EP.12020-03-17T09:16:08+00:002020-03-17T09:17:21+00:00mumuhttps://www.mumupetguide.com/blog/author/mumu/https://www.mumupetguide.com/blog/%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%A2-%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%A1-%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%81-ep1/<p style="text-align: left;"><strong>เตรียมตัวเลี้ยงแมวไปพร้อมกับเลี้ยงลูก EP.1</strong></p>
<p style="text-align: left;">.<br/><strong>เ</strong>ตรียมช่วงก่อนคลอด</p>
<p style="text-align: left;">.<br/>ใครที่กำลังจะมีน้อง และก็เลี้ยงแมวไปด้วยต้องอ่านเลย เพราะถ้าตั้งใจว่าจะเลี้ยงน้องแมว ร่วมกับเด็กเล็กได้ในครอบครัว ต้องมีการเตรียมตัว มีข้อพึงระวังที่คนเป็นพ่อแม่ (คนและแมว) อะไรต้องรู้และต้องคอยดูเอาไว้ เพื่อความปลอดภัยของทั้งลูกและแมวบ้าง โดยทาง ASPCA ได้ให้ข้อแนะนำเอาไว้<br/>สำหรับบ้านไหนที่กำลังจะมีน้องและมีน้องแมวอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันมาฝาก</p>
<p style="text-align: left;">.<br/>เพื่อไม่ให้ยาวไปก็ขอแบ่งเป็น 2 part อ่านง่ายๆ สบายๆ แล้วลองไปปรับใช้กันดูนะ</p>
<p style="text-align: left;">.<br/><strong>ควรเลี้ยงน้องแมวให้อยู่เฉพาะภายในบ้าน </strong><strong>และว่าที่คุณแม่ก็งดสนิทกับแมวนอกบ้านไปก่อนในช่วงตั้งครรภ์</strong><br/>ข้อนี้เป็นเรื่องที่คุณแม่แม่ต้องระวังให้ดี เพราะการไปสัมผัสกับแมวจรที่เราไม่รู้ประวัติ อาจทำให้คุณแม่เสี่ยงที่จะติดโรค toxoplasmosis จากแมวนอกบ้าน (ที่ปกติอาจจะกินนก หรือสัตว์ตัวเล็กๆ เข้าไป) ความน่ากลัวของโรคนี้คือ มีโอกาสทำให้คุณแม่แท้งหรือทำให้ลูกในท้องเกิดปัญหาหูหนวก ตาบอด หรือชักได้ โดยโรค toxoplasmosis จะติดต่อผ่านทางอุจจาระของแมวที่มีเชื้อ อยู่ในตัว ดังนั้นเมื่อคุณแม่ต้องทำความสะอาดกระบะทราย หรือทำสวน ก็ควรต้องสวมถุงมือทุกครั้ง (หรือให้คุณพ่อทำแทนก็จะยิ่งปลอดภัย) เวลาล้างผักผลไม้ หรือเตรียมเนื้อสด ก็ควรใส่ถุงมือ และหากสัมผัสแล้วก็ระวังอย่าเอามือที่เปื้อนมาขยี้ตา ที่สำคัญคือไม่ควรให้น้องแมวกินของดิบๆ ที่ไม่ผ่านความร้อนเพื่อป้องกันซีสต์ของ toxoplasma ที่ปนมาติดต่อสู่คุณแม่ได้</p>
<p style="text-align: left;">.<br/><strong>แมวบางตัวอาจจะเครียดเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง </strong><strong>โดยเฉพาะเมื่อมีสมาชิกใหม่เข้ามาในบ้าน</strong><br/>ดังนั้นควรใช้ช่วงเวลาที่เราตั้งครรภ์เป็นการเตรียมพร้อม เริ่มต้นอาจจะเปิด VDO ที่มีเสียงเด็กเล็กๆ เพื่อให้น้องแมวคุ้นเคย หรือทาเบบี้โลชั่นกลิ่นที่จะทาตัวเบบี๋มาทาที่มือก่อนมาเล่นกับน้องแมว เพื่อให้น้องแมวคุ้นกลิ่น และจัดเฟอร์นิเจอร์เด็กเล็กที่จะใช้รอไว้ ให้น้องแมวได้มีโอกาสมาสำรวจก่อนที่เราจะทำความสะอาดและกันไม่ให้น้องแมวเข้ามาเล่น</p>
<p style="text-align: left;">.<br/>**เทคนิคในการป้องกันไม่ให้น้องแมวเข้ามายุ่มย่ามบนที่นอนน้อง ทำได้ด้วยการตัดแผ่นกระดาษที่พอดีกับเตียงน้องแล้วเอาเทปเหนียว 2 หน้ามาติดและวางเอาไว้ น้องแมวจะไม่ชอบพื้นผิวที่หนึบๆ วิธีนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้น้องแมวขึ้นไปยึดเตียงน้องก่อนน้องเข้ามาอยู่บ้าน</p>
<p style="text-align: left;">.<br/><strong>หากกระบะทรายแมวอยู่ในจุดที่ใกล้บริเวณเด็กอ่อน </strong><strong>ควรทำการเตรียมย้ายกระบะทรายก่อนซัก 2-3 เดือน</strong></p>
<p style="text-align: left;">โดยค่อยๆ ขยับที่วันละ 2-3 นิ้ว จนกว่าจะถึงจุดใหม่ที่จะวางกระบะทราย เพราะถ้าเราเปลี่ยนแบบปุบปับน้องแมวก็จะยังมาทำธุระที่จุดเดิม พอนึกออกใช่ไหมว่าอะไรจะเกิดขึ้น</p>
<p style="text-align: left;">.<br/><strong>สุดท้าย ปรับกิจกรรมต่างๆ </strong><strong>ที่เราทำกับน้องแมวเป็นประจำล่วงหน้าก่อนเบบี๋ลืมตามาดูโลกสัก 1-2 เดือน</strong><br/>ไม่ว่าจะเป็นการให้อาหาร การแปรงขน อาบน้ำ การเล่น หรือแม้แต่สถานที่นอน (บางบ้านก็นอนกับน้องแมวบนเตียง เรารู้ดี) เพราะน้องแมวก็ต้องการเวลาในการปรับตัวด้วยเหมือนกัน</p>
<p style="text-align: left;">.</p>
<p style="text-align: left;">ครั้งต่อไปเราจะมาคุยกันว่าหลังจากที่พาลูกน้อยของเราเข้ามาอยู่ในบ้านแล้ว<br/>ต้องปรับเปลี่ยนอะไรกันต่อ อันนี้เดี๋ยวเอาประสบการณ์จริงที่ใช้แล้วเวิร์คมาบอกต่อกันด้วย ติดตามนะจ๊ะ</p>
<p style="text-align: left;">.<br/>อ้างอิง<br/><a href="https://www.aspca.org/pet-care/cat-care/cats-and-babies">https://www.aspca.org/pet-care/cat-care/cats-and-babies</a></p>
<p style="text-align: left;">.</p>ทำยังไงให้น้องหมาไม่กลัวบ้านใหม่2020-03-17T09:08:24+00:002020-03-17T09:09:14+00:00mumuhttps://www.mumupetguide.com/blog/author/mumu/https://www.mumupetguide.com/blog/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2-%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1/<p style="text-align: left;">Welcome to new home ^^</p>
<p style="text-align: left;">.<br/>เมื่อน้องหมาตัวใหม่เข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของบ้าน ด้วยสิ่งแวดล้อมที่แปลกไป ต้องห่างจากแม่จากพี่น้อง แน่นอนว่าน้องหมาบางตัวอาจมีอาการกลัว หนีไปซ่อนบ้าง ไม่กินข้าวบ้าง บางทีก็ทำให้เจ้าของกลุ้มใจแทนไปซะอย่างนั้น ใครที่กำลังเผชิญปัญหานี้อย่าเพิ่งกังวลใจ เรามีเทคนิคดีๆ จาก Ameriacan Kennel Club มาฝากว่าทำยังไงจะช่วยให้น้องหมาลดความกลัวบ้านใหม่กันได้บ้าง<br/>.<br/>สิ่งแรกที่น้องหมาต้องการมากที่สุดก็คือเวลาในการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ เพราะน้องหมาเองก็ยังคิดถึงแม่รวมทั้งพี่ๆ น้องๆ ร่วมครอก ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่มือใหม่อย่าเพิ่งน้อยใจไปนะว่าทำไมตัวเล็กจึงยังดูกล้าๆ กลัวๆที่จะเข้ามาเล่นกับเรา อดทนอีกหน่อย ค่อยเป็นค่อยไปและอย่าเร่งรัดน้องหมามากเกินไปล่ะ<br/>.<br/>เปิดบ้านพาน้องหมาชมพื้นที่รอบๆ ให้น้องหมารู้ว่าที่เล่นของเค้าอยู่ตรงไหน ที่วางอาหารและน้ำวางตรงมุมใด และที่สำคัญอย่าลืมพาไปชมห้องน้ำของเค้าด้วย หลังจากนั้นก็ปล่อยให้น้องหมาเยี่ยมชมบ้านใหม่โดยที่เราต้องคอยดูความปลอดภัยไม่ให้น้องหมาแอบวิ่งออกนอกบ้าน อิสระมีได้แต่ต้องไม่อัตรายนะลูก<br/>.<br/>หากมีสัตว์เลี้ยงอยู่ที่บ้านก็อย่าลืมพาน้องใหม่ไปแนะนำตัว แต่ต้องดูอย่าปล่อยให้เจ้าตัวเล็กไปกวนพี่ๆ และถ้าที่บ้านมีแมวก็ต้องมีที่ให้น้องแมวหนีเมื่อเจอน้องหมาตัวใหม่ด้วย พบกันครั้งแรกขอแบบเบาๆ สั้นๆ ก็พอเนอะ<br/>.<br/>พาน้องหมามาเจอกับคนที่จะคอยดูแลเค้าทีละคน ไม่ต้องให้ทุกคนมารุมรักพร้อมๆกันเพราะว่าอาจจะทำให้น้องตกใจ และสร้างความเครียดให้น้องหมาได้ เอาเป็นว่าควรให้น้องหมาเจอคนใหม่ๆ ให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ต้องให้น้องหมาประทับใจและมีรางวัลให้น้องหมาแฮปปี้ด้วยก็จะยิ่งดี<br/>.<br/>สร้างสังคมให้กับน้องหมา โดยให้น้องหมาเจอคนใหม่ๆ เพื่อนหมาด้วยกัน สถานที่สถานการณ์ใหม่ๆ ให้ได้มากที่สุด ค่อยๆ ทำ อย่าไปบังคับน้อง เพื่อสร้างความรู้สึกด้านบวกให้กับบ้านใหม่ แล้วบ้านใหม่ของน้องหมา ก็จะเป็น home sweet home ของเราทุกคนแน่นอน</p>
<p style="text-align: left;">.</p>เช็ดหูน้องหมาเอง จะโดนแก้วหูไหม?2020-03-17T09:04:49+00:002020-03-17T09:17:12+00:00mumuhttps://www.mumupetguide.com/blog/author/mumu/https://www.mumupetguide.com/blog/%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A1/<p style="text-align: left;">เวลาคุณหมอบอกให้กลับบ้านมาเช็ดหูเองทีไร หลายคนก็รู้สึกเป็นกังวลทุกที เพราะเวลาจะจับน้องหมาเช็ดหูเนี่ย มันไม่ใช่แค่จับยากนะ แต่ว่าน้องยังดิ้นด้วย แบบนี้จะไม่โดนแก้วหูน้องหมาเหรอคะหมอออออ</p>
<p style="text-align: left;">.<br/>คุณหมอก็ขอบอกว่าไม่ต้องกลัวไปหรอก เพราะโครงสร้างช่องหูของน้องหมา มีความแตกต่างจากของคนเราตรงที่ ช่องหูน้องหมาด้านในจะมีการหักเป็นรูปตัว L ซึ่งทำให้การทำความสะอาดช่องหูน้องหมาอาจจะไปไม่ถึงด้านในเสียด้วย ซ้ำไป ดังนั้นก็เราก็เบาใจเรื่องที่จะทำแก้วหูน้องหมาขาดไปได้</p>
<p style="text-align: left;">.</p>
<p style="text-align: left;">และวันนี้เรามีวิธีง่ายๆ ในการทำความสะอาดหูของน้องหมามาฝาก เริ่มต้นด้วยการเตรียมอุปกรณ์ ได้แก่ น้ำยาล้างหู สำลี และใจของคุณ<br/>พร้อมแล้วใช่มั้ยมาเริ่มกันเลย</p>
<p style="text-align: left;">.<br/>1. จัดน้องหมาให้อยู่ในท่านั่งสบาย และให้น้องหมาผ่อนคลาย</p>
<p style="text-align: left;">.<br/>2. ขออนุญาตน้องหมาว่าจะเช็ดหูแล้วน้า จากนั้นก็ค่อยๆ เปิดหูน้องหมา แล้วเทน้ำยาสำหรับทำความสะอาดหูน้องหมาเข้าไปในช่องหูพอให้น้ำยาล้างหูท่วมภายในช่องหู</p>
<p style="text-align: left;">.<br/>3. ค่อยๆ จับใบหูเอาไว้อย่างเบามือ แล้วเลื่อนมือไปนวดที่บริเวณโคนหู ให้สิ่งสกปรกในรูหูละลายออกมากับน้ำยาล้างหู ตอนนี้น้องหมาอาจจะทำท่าจะสะบัดหัว ให้จับหัวน้องหมาเอาไว้ก่อน</p>
<p style="text-align: left;">.<br/>4. หลังจากนวดประมาณ 20-30 วินาที ก็ปล่อยให้น้องเค้าสะบัดหัวได้ ให้น้ำยาล้างหูที่ละลายขี้หูแล้วออกมา</p>
<p style="text-align: left;">.<br/>5. ใช้ผ้าหรือสำลีซับน้ำยาที่อยู่บริเวณช่องหูส่วนนอกและบริเวณใบหูออกไปจนหมด</p>
<p style="text-align: left;">.<br/>6. ทำซ้ำอีกข้างไปเลยอย่าได้เสียเวลา</p>
<p style="text-align: left;">.<br/>7. อย่าลืมขอบคุณน้องหมาที่ให้เราทำความสะอาดด้วยขนมอร่อยๆ แล้วก็มาเช็ดกันใหม่ซัก 1-2 สัปดาห์ถัดไปนะ</p>
<p style="text-align: left;">.<br/>เคล็ดไม่ลับที่อยากฝากทิ้งท้ายคือ เลือกน้ำยาเช็ดหูสำหรับน้องหมาโดยเฉพาะ เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพช่องหู ถ้าไม่รู้จะเลือกอันไหนสามารถปรึกษาสัตวแพทย์ใกล้บ้านท่านได้เลย</p>
<p style="text-align: left;">.</p>รู้จักไวรัสโคโรนาในสุนัขและแมว อย่าสับสนกับในคน เป็นคนละสายพันธุ์กัน2020-02-07T14:59:48+00:002020-02-07T15:00:56+00:00mumuhttps://www.mumupetguide.com/blog/author/mumu/https://www.mumupetguide.com/blog/%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A7-%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%81%E0%B8%99/<p class="p1"><b></b></p>
<p class="p2"><span class="Apple-tab-span"> </span></p>
<p style="text-align: left;">สำหรับคนที่เลี้ยงน้องหมาน้องแมว<span class="s1"> </span>คงจะคุ้นกับชื่อไวรัสที่ชื่อว่า<span class="s1"> </span>โคโรนาไวรัส<span class="s1"> </span>กันอยู่บ้าง<span class="s1"> </span>แม้ว่าไวรัสโคโรนาที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้จะอยู่ในตระกูลโคโรนาเหมือนกัน<span class="s1"> </span>แต่ก็เป็นคนละสายพันธุ์กับที่ติดในน้องหมาน้องแมว<span class="s1"> </span>และยังไม่พบว่ามีน้องหมาน้องแมวข้ามมาติดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ของคน<span class="s1"> </span>หรือคนมาติดสายพันธุ์ของน้องหมาน้องแมว<span class="s1"> </span>เอาเป็นว่าคนเลี้ยงก็เบาใจกันได้<span class="s1"> </span>ไม่ต้องตื่นตระหนกไป</p>
<p class="p2">.</p>
<p style="text-align: left;">เริ่มกันที่<span class="s1"> </span>ไวรัสโคโรนาในสุนัข<span class="s1"> </span>ที่พบกันได้บ่อยคือกลุ่มที่ติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร<span class="s1"> </span>น้องหมาจะมีอาการท้องเสีย<span class="s1"> </span>อาเจียน<span class="s1"> </span>ขาดน้ำ<span class="s1"> </span>ยิ่งในน้องหมาเด็กอาจทำให้ป่วยรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้<span class="s1"> </span>ซึ่งไวรัสโคโรนานี้ติดต่อกันได้ง่ายโดยการสัมผัสกับเชื้อโดยตรงที่ปนเปื้อนมากับอุจจาระ<span class="s1"> </span>ยิ่งถ้ามีการเลี้ยงน้องหมารวมกันอย่างหนาแน่น<span class="s1"> </span>มีการกินชามน้ำชามอาหารร่วมกัน<span class="s1"> </span>น้องหมาก็มีโอกาสป่วยได้</p>
<p class="p2">.</p>
<p style="text-align: left;">สำหรับไวรัสโคโรนาในแมว<span class="s1"> </span>นั้นก็พบว่ามีกลุ่มที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อทางระบบทางเดินอาหารได้เหมือนกัน<span class="s1"> </span>จะทำให้น้องแมวมีอาการท้องเสีย<span class="s1"> </span>ซึ่งอาการในกลุ่มนี้ไม่รุนแรงนัก<span class="s1"> </span>แต่กลุ่มที่ก่ออาการรุนแรง<span class="s1"> </span>เกิดจากไวรัสโคโรนาที่มีการกลายพันธุ์<span class="s1"> </span>ทำให้เกิดโรคช่องท้องอักเสบติดต่อในแมว<span class="s1"> </span>หรือที่เคยได้ยินกันว่าโรค<span class="s1"> FIP (Feline infectious peritonitis) </span>อาการจะรุนแรงกว่าแบบแรก<span class="s1"> </span>โดยจะพบว่าน้องแมวมีไข้<span class="s1"> </span>เบื่ออาหาร<span class="s1"> </span>น้ำหนักลด<span class="s1"> </span>อาจพบว่ามีน้ำในช่องท้อง<span class="s1"> </span>หรือช่องอก<span class="s1"> </span>และมีโอกาสเสียชีวิตได้</p>
<p class="p2">.</p>
<p style="text-align: left;"><b>ป่วยแล้วต้องทำอย่างไร</b></p>
<p style="text-align: left;">หากสังเกตพบอาการที่ผิดปกติ<span class="s1"> </span>ควรรีบพาน้องหมาน้องแมวไปพบคุณหมอ<span class="s1"> </span>และควรแยกน้องหมาน้องแมวที่ป่วยออกมา<span class="s1"> </span>ในกรณีที่มีการระบาดของโรคคุณหมออาจแนะนำให้มีการทำวัคซีน<span class="s1"> </span>ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคุณหมอและปัจจัยอื่นๆ<span class="s1"> </span>ด้วย</p>
<p class="p2"></p>
<p class="p2"></p>
<p class="p2"></p>
<p class="p2"></p>
<p class="p2"></p>ทำโทษสัตว์เลี้ยงด้วยการตี การดุ ได้ผลจริงหรือ?2020-02-07T14:56:03+00:002020-02-07T14:58:26+00:00mumuhttps://www.mumupetguide.com/blog/author/mumu/https://www.mumupetguide.com/blog/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A9%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%94-%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%AD/<p class="p1" style="text-align: left;"><b></b><span class="s1"><b>#Q&A </b></span><b>กับโรงพยาบาลสัตว์เล็ก</b><span class="s1"><b> </b></span><b>คณะสัตวแพทยศาสตร์</b><span class="s1"><b> </b></span><b>จุฬาฯ</b></p>
<p class="p1" style="text-align: left;"><b>.</b></p>
<p class="p1" style="text-align: left;">หลายครั้งเมื่อสัตว์เลี้ยงแสนน่ารักของเรากลายร่างเป็นเจ้าลิงแซนซน<span class="s1"> </span>จนทำข้าวของเสียหาย<span class="s1"> </span>หรือสร้างเรื่องลำบากให้เราต้องมานั่งเก็บกวาดน่าปวดหัว<span class="s1"> </span>หากจะสอนด้วยการบอกกล่าว<span class="s1"> </span>ก็ดูว่าเจ้าตัวยุ่งจะไม่เข้าใจ<span class="s1"> </span>แล้วถ้าเลือกวิธีดุด่า<span class="s1"> </span>หรือลงแรงทำโทษให้หลาบจำล่ะจะดีหรือไม่<span class="s1"> </span>เราควรลงโทษสัตว์เลี้ยงอย่างไรเมื่อทำผิด<span class="s1"> </span>คุณหมอจากคลินิกพฤติกรรม<span class="s1"> </span>คณะสัตวแพทยศาสตร์<span class="s1"> </span>จุฬาฯ<span class="s1"> </span>ได้มาให้ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องนี้ว่าจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร</p>
<p class="p1" style="text-align: left;">.</p>
<p class="p2" style="text-align: left;">ปัจจุบันนี้ได้มีการพิสูจน์ออกมาแล้วว่า<span class="s2"> </span>การลงโทษสัตว์เลี้ยงทางกายภาพนั้น<span class="s2"> </span>ไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาพฤติกรรมในสัตว์เลี้ยงได้<span class="s2"> </span>เพราะหากจะลงโทษให้ได้ผลนั้น<span class="s2"> </span>ต้องอยู่ในเงื่อนไข<span class="s2"> </span>คือ</p>
<p class="p2" style="text-align: left;">.</p>
<ul class="ul1">
<ul class="ul1">
<li class="li2" style="text-align: left;"><span class="s2"></span>สัตว์แต่ละตัวรับรู้แรงในการตี<span class="s2"> </span>แล้วรู้ตัวว่าทำผิดไม่เท่ากัน<span class="s2"> </span>ซึ่งไม่มีใครบอกได้ว่า<span class="s2"> </span>แรงเท่าใด</li>
<li class="li2" style="text-align: left;"><span class="s2"></span>การตีต้องตีด้วยแรงที่เท่ากันทุกครั้ง</li>
<li class="li2" style="text-align: left;"><span class="s2"></span>การตีต้องตีทุกครั้งที่สัตว์ทำผิด</li>
<li class="li2" style="text-align: left;"><span class="s2"></span>การตีต้องตีภายใน<span class="s2"> 0.5 </span>วินาที<span class="s2"> </span>หลังสัตว์ทำผิด</li>
<li class="li2" style="text-align: left;"><span class="s2"></span>มีความเสี่ยงที่สัตว์จะชินกับการตีด้วยแรงเท่าเดิม<span class="s2"> </span>ทำให้ผู้ลงโทษต้องเพิ่มแรงในการตีขึ้นไปอีก</li>
</ul>
</ul>
<p>.</p>
<p class="p2" style="text-align: left;">ด้วยตัวอย่างเงื่อนไขข้างต้น<span class="s2"> </span>จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะใช้การลงโทษทางร่างกายให้ได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพ<span class="s2"> </span>นอกจากนี้การลงโทษด้วยการด่าทอก็ไม่ได้ทำให้สัตว์เข้าใจได้<span class="s2"> </span>เพียงแต่ไปปลุกเร้าอารมณ์ของสัตว์<span class="s2"> </span>และเรารู้สึกว่าเราได้ระบายอารมณ์ไปแล้วเท่านั้น<span class="s2"> </span>สุดท้ายแล้วถ้าเรายังใช้การลงโทษทางร่างกายหรือทางเสียงต่อไป<span class="s2"> </span>สัตว์ที่อยู่กับเราก็อาจจะไม่มีความสุข<span class="s2"> </span>และอยู่กับเราด้วย<span class="s2"> “</span>ความกลัว<span class="s2">” </span>มากกว่าความสัมพันธ์แบบ<span class="s2"> “</span>สมาชิกในครอบครัว<span class="s2">”</span></p>
<p class="p3">.</p>
<p class="p2" style="text-align: left;">หากสัตว์เลี้ยงมีปัญหาพฤติกรรม<span class="s2"> </span>สามารถมาปรึกษากับสัตวแพทย์ได้<span class="s2"> </span>สัตว์แพทย์เฉพาะทางจะวิเคราะห์หาสาเหตุที่ทำให้สัตว์แสดงออกเช่นนั้น<span class="s2"> </span>แล้วอธิบายเหตุผลให้เจ้าของสัตว์และคนในครอบครัว<span class="s2"> </span>รวมทั้งแนะนำวิธีการแก้ไขและปรับปรุงที่เหมาะสมต่อกรณีนั้นๆ<span class="s2"> </span>โดยที่ผลสำเร็จและการพัฒนามักจะขึ้นกับเจ้าของสัตว์และสมาชิกในบ้านว่าให้ความร่วมมือแค่ไหนด้วย<span class="s2"> </span></p>
<p class="p3">.</p>
<p class="p2" style="text-align: left;"><span class="s2">#</span>สรุป<span class="s2"> </span>ก็คือ<span class="s2"> </span>การทำโทษด้วยการตี<span class="s2"> </span>หรือการดุ<span class="s2"> </span>นอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว<span class="s2"> </span>ยังอาจทำให้ความสัมพันธ์แย่ลง<span class="s2"> </span>มาส่งเสริมพฤติกรรมเชิงบวก<span class="s2"> </span>หรือป้องกันด้วยการฝึกฝนให้สัตว์เลี้ยงรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ<span class="s2"> </span>ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมตั้งแต่อายุยังน้อย<span class="s2"> </span>เช่น<span class="s2"> </span>พาไปเข้าร่วมชั้นเรียนลูกสุนัข<span class="s2"> (Puppy class) </span>ที่มีมาตรฐาน<span class="s2"> </span>และศึกษาเตรียมตัวหาข้อมูลเรื่องการจัดการที่ถูกต้องและเหมาะสม<span class="s2"> </span>ยังเป็นการช่วยลดโอกาสที่จะเกิดปัญหาได้อีกด้วย</p>
<p class="p3">.</p>
<p class="p2" style="text-align: left;">ถ้าใครต้องการปรึกษาสามารถติดต่อได้ที่<span class="s2"> </span>คลินิกพฤติกรรมสัตว์<span class="s2"> </span>โรงพยาบาลสัตว์เล็ก<span class="s2"> </span>คณะสัตวแพทยศาสตร์<span class="s2"> </span>จุฬาฯ<span class="s2"> </span>กันเพิ่มเติมได้<span class="s2"> </span>แต่ถ้าใครมีปัญหาหัวใจ<span class="s2"> </span>อันนี้ก็ตัวใครตัวมันนะ<span class="s2"> </span>ฮิ้ววววว</p>
<p class="p3"></p>
<p class="p3"></p>ตัดเล็บแมวยังไงไม่ให้เสียเลือด!!!2020-02-07T14:49:31+00:002020-02-07T14:53:17+00:00mumuhttps://www.mumupetguide.com/blog/author/mumu/https://www.mumupetguide.com/blog/%E0%B8%95%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94/<p class="p1" style="text-align: left;"><b></b>หนึ่งในกิจกรรมที่เจ้าของน้องแมวต้องเคยทำกันมาแล้วบ้าง<span class="s1"> </span>แต่บางคนก็ทำได้ทีเดียวถอดใจเลิกทำไป<span class="s1"> </span>ก็คือการตัดเล็บให้น้องแมวที่บ้าน<span class="s1"> </span>ด้วยความที่น้องแมวก็ดิ้นไม่ยอมให้เราตัด<span class="s1"> </span>ขอจับหน่อยก็ดึงแขนหนี<span class="s1"> </span>แบบนี้แม่ก็ตัดพลาดเอาได้ง่ายๆ<span class="s1"> </span>พอเลือดสาดขึ้นมา<span class="s1"> </span>สุดท้ายก็มองหน้ากันไม่ติด<span class="s1"> </span>จบลงด้วยการฝากให้เป็นหน้าที่คุณหมอ<span class="s1"> </span>หรือช่างอาบน้ำตัดขนคู่ใจให้จัดการให้แทนดีกว่า<span class="s1"> </span></p>
<p class="p1" style="text-align: left;">.</p>
<p class="p1" style="text-align: left;">แต่ถ้าเกิดเหตุจำเป็นต้องตัดเองขึ้นมา<span class="s1"> </span>ตนก็ต้องเป็นที่พึ่งแห่งตนแล้ว<span class="s1"> </span>มาดูเทคนิคนี้ที่รับรองว่าตัดแล้วไม่เสียเลือดทั้งแมวและเจ้าของ<span class="s1"> </span>จบท้ายน้องแมวก็ยังรักเราเหมือนเดิมด้วย<span class="s1"> </span>ป่ะเริ่มกันเลย</p>
<p class="p1" style="text-align: left;">.</p>
<p class="p1" style="text-align: left;"><b>เตรียมอุปกรณ์ก่อนปฏิบัติการ</b></p>
<ul class="ul1" style="text-align: left;">
<li class="li1" style="text-align: left;"><span class="s1"></span>กรรไกรตัดเล็บแมว</li>
<li class="li2" style="text-align: left;"><span class="s2">ใจ</span></li>
<li class="li2" style="text-align: left;"><span class="s2">กาย</span></li>
<li class="li1" style="text-align: left;"><span class="s1"></span>ขนมแมว</li>
</ul>
<p>.</p>
<p class="p1" style="text-align: left;"><b>วิธีการ</b></p>
<ul class="ul1" style="text-align: left;">
<li class="li1" style="text-align: left;"><span class="s1"></span>เตรียมใจและกายของคุณให้พร้อม<span class="s1"> </span>ใจที่พร้อมรบจะยอมรับกายที่มากับรอยข่วนได้ไม่ยาก</li>
<li class="li1" style="text-align: left;"><span class="s1"></span>ค่อยๆ<span class="s1"> </span>บอกน้องแมวอย่างแผ่วเบาว่าข้าเจ้าขอตัดเล็บแม่นายหน่อย</li>
<li class="li1" style="text-align: left;"><span class="s1"></span>จับแมวให้อยู่ในท่าที่สบายที่สุด<span class="s1"> </span>ไม่ดิ้นรน<span class="s1"> </span>และขัดขืน<span class="s1"> </span>แต่ถ้าเกิดการดิ้นรนแล้ว<span class="s1"> </span>ให้พักก่อน</li>
<li class="li1" style="text-align: left;"><span class="s1"></span>บีบนิ้วเบาๆ<span class="s1"> </span>เพื่อให้เล็บยื่นโผล่ออกมา<span class="s1"> </span>เล็งเป้าให้แม่น<span class="s1"> </span>โดยจุดที่ปลอดภัยคือส่วนสีขาวขุ่น<span class="s1"> </span>เพราะเป็นส่วนที่ไม่มีเส้นเลือดและเส้นประสาท<span class="s1"> </span></li>
<li class="li1" style="text-align: left;"><span class="s1"></span>เอากรรไกรตัดเล็บคมๆ<span class="s1"> </span>มาตัดได้เลย<span class="s1"> </span></li>
<li class="li1" style="text-align: left;"><span class="s1"></span>ถ้าผ่านนิ้วแรกได้แล้วเกิดอาการไม่ยอม<span class="s1"> </span>สามารถถอยทัพแล้วกลับมาใหม่ได้ไม่ว่ากัน<span class="s1"> </span></li>
<li class="li1" style="text-align: left;"><span class="s1"></span>สำรวจร่างกายที่เราเตรียมใจมาแล้วเป็นอย่างดีว่ามีรอยข่วนมาฝากตรงไหนบ้างหรือเปล่า<span class="s1"> </span></li>
<li class="li1" style="text-align: left;"><span class="s1"></span>ถ้าไม่มีก็อย่าลืมขอบคุณน้องแมวที่ยอมให้ตัดเล็บและปราณีเราขนาดนี้</li>
<li class="li1" style="text-align: left;"><span class="s1"></span>เอาขนมแมวออกมาเพื่อบอกรัก<span class="s1"> </span>และขอการให้อภัย<span class="s1"> </span>เอามาให้น้องแมวกินเป็นการปลอบใจ<span class="s1"> </span>บอกเลยว่าขนมไม่ได้ให้บ่อย<span class="s1"> </span>นานๆ<span class="s1"> </span>ทีโอกาสดีๆ<span class="s1"> </span>แบบนี้ถึงจะได้กิน</li>
</ul>
<p>.</p>
<p class="p1" style="text-align: left;">ชี้เป้าให้ขนาดนี้<span class="s1"> </span>คราวหน้าก็ไม่ต้องกลัวการตัดเล็บน้องแมวอีกต่อไปแล้วล่ะ<span class="s1"> </span></p>
<p class="p3"></p>
<p class="p3"></p>5 ของมันต้องมี ก่อนย้ายแมวใหม่เข้าบ้าน [How to เลี้ยง (แมว) 101]2020-02-07T14:47:51+00:002020-02-07T14:47:51+00:00mumuhttps://www.mumupetguide.com/blog/author/mumu/https://www.mumupetguide.com/blog/5-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1-%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%99-how-to-%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%87-%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A7-101/<p class="p1"><span class="s1"><b></b></span><b>.</b></p>
<p class="p1">ตอนแรกของ<span class="s1"> How to </span>เลี้ยง<span class="s1"> (</span>แมว<span class="s1">) 101 </span>จะมาช่วยเตรียมเช็คลิสต์ของก่อนที่จะรับน้องแมวตัวใหม่เข้ามาอยู่บ้านด้วยกัน<span class="s1"> (</span>แต่ใครที่กำลังจะเลี้ยงน้องหมาก็ไม่ต้องน้อยใจไป<span class="s1"> </span>รอติดตามกันต่อไป<span class="s1"> </span>เดี๋ยวมีมาฝากกันแน่นอน<span class="s1">) </span>มาดูของ<span class="s1"> 5 </span>อย่างที่จำเป็นต้องมีจริงๆ<span class="s1"> </span>ก่อนที่จะย้ายแมวใหม่เข้ามาอยู่ที่บ้าน<span class="s1"> </span>เพื่อช่วยให้น้องแมวอยู่บ้านใหม่ได้อย่างสะดวกสบายกาย<span class="s1"> </span>และอบอุ่นสบายใจ<span class="s1"> </span>ใครที่กำลังจะเลี้ยงน้องแมวตัวใหม่ต้องมี<span class="s1"> </span>ไม่มีไม่ได้เลยล่ะ</p>
<p class="p2">.</p>
<p class="p1">อาหารแมว<span class="s1"> : </span>สำคัญอันดับ<span class="s1"> 1 </span>ก็คือ<span class="s1"> </span>อาหาร<span class="s1"> </span>นี่แหละ<span class="s1"> </span>เริ่มง่ายๆ<span class="s1"> </span>กับอาหารแมวแบบเม็ด<span class="s1"> </span>เลือกสูตรอาหารให้เหมาะกับช่วงวัยของน้องแมว<span class="s1"> </span>เพราะปริมาณของโปรตีน<span class="s1"> </span>และสารอาหารอื่นๆ<span class="s1"> </span>จะต่างกันไปตามช่วงวัย<span class="s1"> </span>รวมทั้งการออกแบบเม็ดอาหารก็จะช่วยลดคราบพลัค<span class="s1"> </span>คราบหินปูนได้ด้วย<span class="s1"> </span></p>
<p class="p2">.</p>
<p class="p1">ชามน้ำ<span class="s1"> </span>ชามอาหาร<span class="s1"> : </span>สำหรับใส่อาหารและน้ำของน้องแมว<span class="s1"> </span>จุดสำคัญอยู่ที่การเลือกภาชนะ<span class="s1"> </span>ควรเลือกภาชนะที่เรียบ<span class="s1"> </span>สะอาด<span class="s1"> </span>ทำความสะอาดได้ง่าย<span class="s1"> </span>และตั้งจุดวางอาหาร<span class="s1"> </span>น้ำ<span class="s1"> </span>ให้ห่างจากจุดวางห้องน้ำน้องแมว<span class="s1"> (</span>หรือกระบะทรายแมวนั่นแหละ<span class="s1">) </span>เพราะน้องแมวมีนิสัยรักสะอาด<span class="s1"> </span>มาตั้งข้าวไว้ใกล้ส้วมอ่ะ<span class="s1"> </span>หนูกินไม่ลงหรอกนะแม่</p>
<p class="p2">.</p>
<p class="p1">ทรายแมว<span class="s1"> : </span>เพราะทรายแมวก็คือห้องส้วมสำหรับน้องแมว<span class="s1"> </span>จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆ<span class="s1"> </span>แบบที่ขาดไม่ได้เด็ดขาด<span class="s1"> </span>ถ้าไม่มีหนูก็ไม่รู้จะไปฉี่ที่ไหน<span class="s1"> </span>แต่หลายคนพอเดินเข้าไปเลือกซื้อทรายแมวก็เกิดความสับสนไม่รู้จะเลือกแบบไหน<span class="s1"> </span>เพราะมีหลากหลายแบบไปหมด<span class="s1"> </span>ทางเราก็แนะนำว่าควรเลือกให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเจ้าของด้วย<span class="s1"> </span>เช่น<span class="s1"> </span>ถ้าเลี้ยงบนคอนโด<span class="s1"> </span>ก็ควรเลือกทรายชนิดที่ตักลงชักโครกได้<span class="s1"> </span>โดยเริ่มต้นอาจจะเลือกไปให้น้องแมวลองใช้ก่อนว่าชอบหรือเปล่า<span class="s1"> </span>ถ้าถูกใจแบบไหนก็ใช้ไปยาวๆ<span class="s1"> </span>ได้เลย</p>
<p class="p2">.</p>
<p class="p1">กระบะทรายแมว<span class="s1"> : </span>กระบะทรายแมวไม่จำเป็นต้องซื้อหรูหราอลังการอะไร<span class="s1"> </span>ถ้าใครงบจำกัดจะเอากะละมังมาแทนได้ก็ไม่ว่ากัน<span class="s1"> </span>หรือถ้าใครอยากได้ปังๆ<span class="s1"> </span>จัดกระบะทรายอัตโนมัติไปเลยก็ได้ไม่ต้องเหนื่อยเก็บอึ๊น้องบ่อยๆ<span class="s1"> </span>แต่สิ่งที่สำคัญก็คือควรเลือกกระบะทรายให้เหมาะกับขนาดตัวของน้องแมว<span class="s1"> </span>ความลึกของกระบะทรายสามารถใส่ทรายได้หนาหน่อย<span class="s1"> </span>และมีขอบสูงพอที่เวลาน้องแมวขุดกลบอึแล้วทรายจะไม่หกเลอะเทอะมากนั่นเอง</p>
<p class="p2">.</p>
<p class="p1">ที่ลับเล็บแมว<span class="s1"> : </span>สุดท้ายเป็นของที่ดีต่อใจ<span class="s1"> </span>และดีต่อเฟอร์นิเจอร์ที่บ้านเรา<span class="s1"> </span>นั่นก็คือที่ลับเล็บแมวนั่นเอง<span class="s1"> </span>ใครมีทุนทรัพย์อาจถอยคอนโดแมวมาเลยก็ได้<span class="s1"> </span>เพราะคอนโดแมวส่วนมากจะพันเชือกเอาไว้ให้น้องแมวลับเล็บเพลินๆ<span class="s1"> </span>มาให้ด้วย<span class="s1"> </span>หรือถ้าใครไม่มีพื้นที่<span class="s1"> </span>เอาเป็นที่ลับเล็บที่ทำจากกระดาษลังก็ใช้ได้ดีราคาไม่แพง<span class="s1"> </span>ให้น้องแมวใช้ที่ลับเล็บสำหรับลับเล็บตั้งแต่แรก<span class="s1"> </span>ดีกว่าไปเริ่มกับเฟอร์นิเจอร์ที่บ้านนะเดี๋ยวจะหาว่าเราไม่เตือน<span class="s1"><br/> .<br/> #mumupetguide<br/> #howto</span>เลี้ยงแมว</p>
<p class="p3"></p>
<p class="p3"></p>สัตว์เลี้ยงก็มีสิทธิ์ทำ MRI ได้2020-02-07T14:39:42+00:002020-02-07T14:42:49+00:00mumuhttps://www.mumupetguide.com/blog/author/mumu/https://www.mumupetguide.com/blog/%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%97%E0%B8%B3-mri-%E0%B9%84%E0%B8%94/<p style="text-align: left;"><span></span><span>เครื่อง </span>MRI <span>สำหรับสัตว์เลี้ยงก็มีนะ</span></p>
<p style="text-align: left;"></p>
<p style="text-align: left;"><span>นวัตกรรมการรักษาและวินิจฉัยโรคในสัตว์เลี้ยงทุกวันนี้บอกเลยว่าก้าวไกลไม่แพ้ของคนเลย ไม่ว่าจะเป็นการอัลตราซาวด์ เครื่องเลเซอร์ หรือแม้กระทั่งการทำ </span>MRI <span>ก็มีในสัตว์เลี้ยงแล้ว</span></p>
<p style="text-align: left;">.</p>
<p style="text-align: left;"><span>ที่ </span>Animal MRI Center <span>เป็นศูนย์ทำ </span>MRI <span>และแปลผล วินิจฉัย ครบวงจรสำหรับสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ ซึ่งข้อดีของการทำ </span>MRI <span>สำหรับสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะคือ จะมีสัตวแพทย์และทีมผู้ช่วยสัตวแพทย์ ให้การดูแลสัตว์เลี้ยงในทุกขั้นตอน ตั้งแต่วางยาสลบ การดูแลระหว่างการทำ </span>MRI <span>จนสัตว์เลี้ยงฟื้นขึ้นมา เรียกได้ว่าปลอดภัยกับสัตว์เลี้ยงแบบสุดๆ ที่สำคัญสามารถนัดคิวทำได้ตลอดทั้งช่วงกลางวัน และกลางคืน ตลอด </span>24 <span>ชั่วโมง สะดวกต่อทั้งเจ้าของสัตว์เลี้ยง และสถานพยาบาลสัตว์ที่พาสัตว์เลี้ยงมาทำ </span>MRI <span>เพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติม เพียงแค่นัดหมายเข้ามาก่อนเท่านั้นเอง</span><br/> .</p>
<p style="text-align: left;"><span>ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือนัดหมายเพื่อนำสัตว์เลี้ยงมาทำ </span>MRI <span>ที่ </span>Animal MRI Center <span>ได้ทาง </span></p>
<p style="text-align: left;"><span>โทรศัพท์ </span>099 443 9545</p>
<p style="text-align: left;">Line : @animalMRIcenter</p>
<p style="text-align: left;">FB : <span>ศูนย์ </span>MRI <span>ในสัตว์เลี้ยง</span>, Animal MRI Center : Better Diagnosis</p>
<p style="text-align: left;"><span>หรือค้นหาสถานที่ผ่าน </span>Line : @MUMUPetAssistant <span>ก็ได้เช่นกัน</span></p>
<p style="text-align: left;"></p>10 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงจิ๋ว2019-07-29T17:10:00+00:002019-07-29T17:12:45+00:00mumuhttps://www.mumupetguide.com/blog/author/mumu/https://www.mumupetguide.com/blog/10-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%A7/<p style="text-align: left;"><span>ใครที่เลี้ยงสัตว์จิ๋ว หรือบางคนอาจจะเรียกว่าสัตว์แปลก ไม่ว่าจะเป็น นก กระต่าย หนู ชูการ์ไกลเดอร์ อาจจะเคยมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการให้อาหาร การดูแลเบื้องต้น ปัญหาสุขภาพเล็กๆ น้อยๆ จุกจิกกวนใจ คุณหมอจาก Exotic clinic โรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ จึงได้รวบรวม 10 คำถามที่ถามกันมาบ่อยๆ เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงจิ๋วมาฝากกัน เนื่องในโอกาสครบรอบ 84 ปี คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สมาร์ทฮาร์ท โซเอทิส และ application สำหรับสัตว์เลี้ยง MUMU Petguide ในโครงการ Smart Vet Smart Society เพื่อส่งเสริมสุขภาพสัตว์เลี้ยงให้ดีขึ้น ใครกำลังเลี้ยงสัตว์เลี้ยงตัวจิ๋วอยู่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง </span></p>
<p style="text-align: left;"></p>
<h4 style="text-align: left;"><span>Exotic clinic</span></h4>
<ol>
<li style="text-align: left;"><b> กระต่ายควรกินอาหารอะไร</b>
<p><b>ตอบ</b><span> กระต่ายควรให้กินหญ้าเป็นอาหารหลักคิดเป็น 80% ของอาหารทั้งหมด ส่วนอาหารเม็ด ผักสด สามารถให้ได้ในปริมาณที่จำกัดคิดเป็น 20% ของอาหารทั้งหมด และเมื่อกระต่ายอายุ 8 เดือนขึ้นไป ควรลดหญ้าแห้ง alfafa ลงเพราะจะได้รับแคลเซียมปริมาณเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ </span></p>
</li>
<li style="text-align: left;"><b> ทำไมกระต่ายถึงเป็นฝีรากฟัน</b>
<p><b>ตอบ</b><span> สาเหตุโน้มนำมาจากอาหารที่ให้ไม่เหมาะสม กระต่ายไม่ได้ใช้ฟันบดเคี้ยวอาหาร ฟันและรากฟันเจริญผิดปกติ ทำให้เกิดปัญหาฝีรากฟันตามมาได้ </span></p>
</li>
<li style="text-align: left;"><b> นกกินแต่เม็ดทานตะวันเป็นอาหารได้ไหม</b>
<p><b>ตอบ</b><span> ไม่ควรให้แต่เม็ดทานตะวันเป็นอาหาร เพราะจะทำให้นกได้รับสาอาหารไม่เพียงพอเช่น วิตามิน นอกจากนี้เม็ดทานตะวันมีแต่ไขมัน ฟอสฟอรัสสูง หากกินไปนานๆอาจจะทำให้เกิดโรคอ้วน ปัญหาโรคตับและกระดูกบางตามมาได้ ควรใช้เม็ดทานตะวันเป็นเหมือนขนมรางวัล ให้เมื่อนกทำตัวดีหรือปฏิบัติตามคำสั่ง</span></p>
</li>
<li style="text-align: left;"><b> แฮมสเตอร์ อายุขัยกี่ปี</b>
<p><b>ตอบ</b><span> อายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่2-3ปี </span></p>
</li>
<li style="text-align: left;"><b> ชูการ์ ไกลเดอร์ กินซีลีแลคได้ไหม</b>
<p><b>ตอบ</b><span> กินได้แต่ไม่ควรให้กินเป็นอาหารหลัก เพราะสารอาหารไม่เหมาะสม มีพลังงานสูงและโปรตีนต่ำ เมื่อชูการ์กินนานๆอาจจะมีปัญหาโรคอ้วน ฟันผุตามมาได้ </span></p>
</li>
<li style="text-align: left;"><b> ทำไม ชูการ์ ไกลเดอร์ ชอบกัดแทะตัวเอง</b>
<p><b>ตอบ </b><span>ชูการ์ไกลเดอร์เป็นสัตว์สังคม และเป็นสัตว์ที่มีความเครียดต่อการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมได้ง่าย หากไม่ได้รับการเข้าสังคม การเล่นกับเจ้าของ เมื่อเกิดความเครียด หรือมีความเจ็บปวดจึงมักจะกัดทำร้ายตัวเอง หากมีอาการควรรีบพามาพบสัตวแพทย์เพื่อทำการรักษา ร่วมกับการปรับสิ่งแวดล้อมและการจัดการในการเลี้ยงดู</span></p>
</li>
<li style="text-align: left;"><b> เม่นแคระทานอาหารแมวอย่างเดียวได้ไหม</b>
<p><b>ตอบ </b><span>สามารถทานได้แต่ไม่แนะนำ ควรเสริมอาหารจำพวก หนอน แมลง ผักใบเขียวและผลไม้ให้บ้าง เพื่อให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วน และในปัจจุบันมีผู้ผลิตอาหารเม็ดสำหรับเม่นโดยตรง สามารถเลือกซื้อได้ จะเป็นสูตรอาหารที่มีความจำเพาะต่อเม่นแคระมากกว่าอาหารแมว </span></p>
</li>
<li style="text-align: left;"><b> สัตว์พิเศษควรพามาตรวจสุขภาพบ่อยแค่ไหน</b>
<p><b>ตอบ </b><span>หากไม่ได้มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ควรพามาตรวจสุขภาพทุกๆ 3 เดือน </span></p>
</li>
<li style="text-align: left;"><b> จำเป็นต้องทำหมันสัตว์พิเศษไหม</b>
<p><b>ตอบ</b><span> ควรทำหมันกระต่าย หนูแกสบี้ หนูแฮมสเตอร์เพศเมียเพื่อลดปัญหาการเกิดภาวะมดลูกอักเสบ เนื้องอกเต้านม เนื้องอกรังไข่ ส่วนชูการ์และกระต่ายเพศผู้ ควรทำหมันเพื่อลดความก้าวร้าว การทะเลาะกันเองภายในฝูง หรือเพื่อการควบคุมจำนวนประชากร </span></p>
</li>
<li style="text-align: left;"><b> สัตว์พิเศษจำเป็นต้องทำวัคซีนพิษสุนัขบ้าไหม</b>
<p style="text-align: left;"><b>ตอบ</b><span> สัตว์พิเศษที่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หากอยู่ในบริเวณที่เสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อโรค หรือมีนิสัยก้าวร้าว กัดเจ้าของควรทำวัคซีน แต่สิ่งที่เจ้าของต้องทราบคือวัคซีนเป็นวัคซีนที่ผลิตมาสำหรับสุนัขและแมว เพราะฉะนั้น สัตว์พิเศษมีโอกาสที่จะแพ้วัคซีนได้ หลังฉีดวัคซีนควรจะเฝ้าระวังการแพ้วัคซีนประมาณ 24-48 ชั่วโมง</span></p>
</li>
</ol>ถามมาตอบไปกับ 10 เรื่องการคุมกำเนิดสัตว์เลี้ยง2019-07-29T17:05:13+00:002020-03-17T09:04:41+00:00mumuhttps://www.mumupetguide.com/blog/author/mumu/https://www.mumupetguide.com/blog/%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%9A-10-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%87/<p style="text-align: left;"><span>คำถามที่คุณหมอจะต้องตอบเจ้าของสัตว์อยู่บ่อยๆ นอกจากปัญหาสุขภาพทั่วไปแล้ว เรื่องการคุมกำเนิดน้องหมาน้องแมวนี่แหละที่เป็นคำถามยอดฮิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำหมัน หรือคำถามว่าทำไมไม่ควรฉีดยาคุม ยาวไปจนถึงการตรวจท้องน้องหมาน้องแมว</span></p>
<p style="text-align: left;"><span>เนื่องในโอกาสครบรอบ 84 ปี คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สมาร์ทฮาร์ท โซเอทิส และ application สำหรับสัตว์เลี้ยง MUMU Petguide ในโครงการ Smart Vet Smart Society เพื่อส่งเสริมสุขภาพสัตว์เลี้ยงให้ดีขึ้น ทีมคุณหมอจากคลินิกสูติกรรม โรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงมาช่วยไขข้อข้องใจกับ 10 เรื่องการคุมกำเนิดสัตว์เลี้ยงที่ทุกคนควรรู้ </span></p>
<p style="text-align: left;"><span></span></p>
<p style="text-align: left;"><b><b>Q:</b> <b>ถ้ามีสัตว์เลี้ยงเพศเมียตัวเดียวในบ้าน ไม่มีตัวผู้ ควรทำหมันหรือไม่</b></b></p>
<p style="text-align: left;"><span>A:</span> <span>ควร เพราะช่วยป้องกันโรคทางระบบสืบพันธุ์ เช่น ภาวะมดลูกอักเสบ และเนื้องอกระบบสืบพันธุ์</span></p>
<p style="text-align: left;"><span></span></p>
<p style="text-align: left;"><b>Q:</b> <b>สามารถวางยาผ่าตัดทำหมัน สัตว์เลี้ยงได้ตั้งแต่ อายุเท่าไหร่</b></p>
<p style="text-align: left;"><span>A:</span> <span>สามารถวางยาผ่าตัดทำหมันได้ตั้งแต่อายุ 3 เดือนขึ้นไป </span></p>
<p style="text-align: left;"><span></span></p>
<p style="text-align: left;"><b>Q: </b> <b>สัตว์เลี้ยงที่เป็นทองแดง (อัณฑะไม่ลงถุงหุ้มอัณฑะไม่ครบทั้ง 2 ข้าง) ควรทำหมันหรือไม่</b></p>
<p style="text-align: left;"><span>A:</span> <span>ควร เนื่องจาก อัณฑะที่ไม่ลงถุงหุ้มอัณฑะ มีโอกาสพัฒนาเป็นเนื้องอกอัณฑะเมื่อสัตว์มีอายุมากขึ้น</span></p>
<p style="text-align: left;"><span></span></p>
<p style="text-align: left;"><b><b>Q:</b> <b>สัตว์เลี้ยงเพศผู้ต้องทำหมันหรือไม่</b></b></p>
<p style="text-align: left;"><span>A:</span> <span>ควร เพื่อป้องกันโรคทางระบบสืบพันธุ์เพศผู้ เช่น ความผิดปกติของต่อมลูกหมาก และอัณฑะ</span></p>
<p style="text-align: left;"><span></span></p>
<p style="text-align: left;"><b><b>Q:</b> <b>ถ้าสัตว์เลี้ยงเพศผู้ไม่สามารถผสมกับสัตว์เลี้ยงเพศเมียได้เอง ควรทำอย่างไร</b></b></p>
<p style="text-align: left;"><span>A:</span> <span>สามารถใช้วิธีการผสมเทียมโดยการรีดเก็บน้ำเชื้อเพศผู้ และ สอดท่อผสมเทียม หรือ ผ่าตัดผสมเทียม</span></p>
<p style="text-align: left;"><b><b></b></b></p>
<p style="text-align: left;"><b><b>Q:</b> <b>สุนัขเพศผู้ที่เป็นทองแดง สามารถผสมติดได้หรือไม่ และควรนำไปเป็นพ่อพันธุ์ต่อหรือไม่</b></b></p>
<p style="text-align: left;"><span>A:</span> <span>สามารถผสมติดได้ แต่ไม่ควรนำไปผสมเนื่องจาก ภาวะทองแดงสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้</span></p>
<p style="text-align: left;"><b><b></b></b></p>
<p style="text-align: left;"><b><b>Q:</b> <b>ถ้าไม่สามารถพาสัตว์เลี้ยงมาผ่าตัดทำหมัน เจ้าของสามารถฉีดยาคุมได้หรือไม่</b></b></p>
<p style="text-align: left;"><span>A:</span> <span>ไม่ได้ เนื่องจาก ฮอร์โมนจากยาคุมกำเนิด สามารถเหนี่ยวนำให้เกิดโรคทางระบบสืบพันธุ์ได้ เช่น มดลูกอักเสบ มะเร็งเต้านม เนื้องอกระบบสืบพันธุ์ และถ้าฉีดในช่วงที่สัตว์เลี้ยงกำลังตั้งท้อง จะทำให้เกิดภาวะคลอดไม่ออก และลูกเสียชีวิต</span></p>
<p style="text-align: left;"><b><b></b></b></p>
<p style="text-align: left;"><b><b>Q: </b> <b>ถ้าคลำพบก้อนเนื้อบริเวณเต้านม ต้องพาสัตว์เลี้ยงมาพบสัตวแพทย์และทำการรักษาหรือไม่</b></b></p>
<p style="text-align: left;"><span>A:</span> <span>ควร เนื่องจากก้อนเนื้อที่เต้านมมีโอกาสเป็นเนื้องอกเต้านมได้ โดยในสุนัขเพศเมีย ประมาณ 50% มีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านม และในแมวเพศเมียมีโอกาสมากกว่า 90% </span></p>
<p style="text-align: left;"><b><b></b></b></p>
<p style="text-align: left;"><b><b>Q:</b> <b>สัตว์เลี้ยงอายุมาก สามารถวางยาผ่าตัดเพื่อทำหมันได้หรือไม่</b></b></p>
<p style="text-align: left;"><span>A:</span> <span>ได้ โดยต้องผ่านการตรวจร่างกายโดยละเอียด เช่น ตรวจเลือด, เอกซเรย์ (x-ray), ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) เพื่อประเมินความเสี่ยงในการวางยาผ่าตัด</span></p>
<p style="text-align: left;"><b><b></b></b></p>
<p style="text-align: left;"><b><b>Q:</b> <b>สามารถตรวจการตั้งท้องในสัตว์เลี้ยงได้ตั้งแต่เมื่อใด</b></b></p>
<p style="text-align: left;"><span>A:</span> <span>ในสุนัขและแมว สามารถตรวจการตั้งท้อง โดยการ อัลตราซาวด์ (Ultrasound) ได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 21 วันขึ้นไป และสามารถเอกซเรย์ (x-ray) เพื่อประเมินจำนวนลูกได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 45 วันขึ้นไป </span></p>
<p style="text-align: left;"><span>ในสัตว์เลี้ยงพิเศษ เช่น กระต่าย สามารถตรวจการตั้งท้อง โดยการ อัลตราซาวด์ (Ultrasound) ได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 14 วันขึ้นไป และสามารถเอกซเรย์ (x-ray) เพื่อประเมินจำนวนลูกได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 21 วันขึ้นไป</span></p>ฝังเข็ม ทางเลือกใหม่ในการรักษาสัตว์เลี้ยง2019-07-22T19:00:37+00:002019-07-22T19:00:55+00:00mumuhttps://www.mumupetguide.com/blog/author/mumu/https://www.mumupetguide.com/blog/%E0%B8%9D%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A1-%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%87/<p style="text-align: left;"><span>นอกจากการรักษาสัตว์ในยุคปัจจุบันที่มีความก้าวหน้าไม่ต่างจากในคนแล้ว แพทย์แผนทางเลือกก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางการรักษาในสัตว์ที่มาแรงไม่แพ้กัน วันนี้มาทำความรู้จักกับการฝังเข็มในสัตว์เลี้ยง จากคลินิกฝังเข็ม โรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ที่จะมาบอกเล่าเรื่องราวให้เราได้รู้จักกับการฝังเข็มในสัตว์ เนื่องในโอกาสครบรอบ 84 ปี คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สมาร์ทฮาร์ท โซเอทิส และ application สำหรับสัตว์เลี้ยง MUMU Petguide ในโครงการ Smart Vet Smart Society เพื่อส่งเสริมสุขภาพสัตว์เลี้ยงให้ดีขึ้น ใครที่กำลังสนใจการรักษาทางเลือกใหม่ๆ ในกับสัตว์เลี้ยง มาติดตามต่อกันได้เลย</span></p>
<p style="text-align: left;"><strong>CU Acupuncture Clinic</strong></p>
<ol>
<li style="text-align: left;"><strong>ฝังเข็ม คืออะไร</strong><span><br/></span><span>ฝังเข็ม คือการนำเข็มไปฝังทิ้งไว้ตามจุดต่างๆ ของร่างกาย เพื่อให้มีการปรับสมดุลของร่างกายให้กลับมาเป็นปกติได้มากที่สุด</span></li>
<li style="text-align: left;"><strong>ฝังเข็มในสัตว์ เหมือนฝังเข็มในคน หรือไม่</strong><span><br/></span><span>ฝังเข็มในสัตว์ มีหลักการเดียวกันกับการฝังเข็มในคน ซึ่งเป็นศาสตร์การแพทย์แผนจีน โดนในอดีตการฝังเข็มในสัตว์ก็นำการฝังเข็มของคนมาดัดแปลงให้เข้ากับโครงสร้างของร่างกายสัตว์ และได้มีการศึกษามาอย่างต่อเนื่องจนในปัจจุบัน</span></li>
<li style="text-align: left;"><strong>การฝังเข็มสัตว์ สัตว์จะเจ็บหรือไม่</strong><span>ในการฝังเข็ม เราจะใช้เข็มที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก ทำให้อาจมีความเจ็บปวดบ้าง แต่น้อยกว่าการฉีดยาโดยทั่วไป ยกเว้นบางกรณี เช่น สัตว์มีอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อ ในการทำฝังเข็มครั้งแรก อาจจะเจ็บได้ แต่หากมีการทำต่อเนื่องหลาย ๆ ครั้ง ก็จะทำให้ความเจ็บทุเลาลงได้</span></li>
<li style="text-align: left;"><strong>การฝังเข็มในสัตว์ สามารถทำในสัตว์ชนิดไหนได้บ้าง</strong> <span><br/></span><span>การฝังเข็มในสัตว์สามารถทำได้ในสัตว์ทุกชนิด โดยที่เราต้องสามารถจับบังคับสัตว์เหล่านั้นได้ เช่น สุนัข แมว กระต่าย ฯลฯ หรือในสัตว์ป่า สัตวดุร้าย อาจจะต้องให้สัตวแพทย์เฉพาะทาง พิจารณาเป็นกรณีไป หรืออาจจะต้องให้ร่วมกับการวางยาสลบสัตว์ในการทำ</span></li>
<li style="text-align: left;"><strong>การฝังเข็มในสัตว์ในเวลานานเท่าไหร่ ในการรักษาแต่ละครั้ง</strong> <span><br/></span><span>การฝังเข็มในสัตว์เลี้ยงจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที ทั้งการฝังเข็มธรรมดา และฝังเข็มกระตุ้นไฟฟ้า</span></li>
<li style="text-align: left;"><strong>การฝังเข็มธรรมดา และฝังเข็มกระตุ้นไฟฟ้า ต่างกันอย่างไร</strong><span><br/></span><span>การฝังเข็มธรรมดา จะเป็นการรักษาแบบดั้งเดิม คือการฝังเข็มลงไปตามจุดฝังเข็มต่าง ๆ บนร่างกาย อาจมีการกระตุ้นจุดโดยการหมุนเข็ม หรือวิธีต่าง ๆ โดยการการกระตุ้นไฟฟ้า ก็เป็นวิธีการกระตุ้นชนิดหนึ่ง ทำให้ได้ผลเร็วขึ้น หรือลดปวดได้ดีขึ้น แต่ในบางกรณีจะไม่สามารถกระตุ้นไฟฟ้าได้ เช่น สัตว์ป่วยเป็นโรคลมชัก</span></li>
<li style="text-align: left;"><strong>การฝังเข็มในสัตว์มีความถี่ในการรักษานานเท่าไหร่</strong> <span><br/></span><span>ช่วงแรกจะทำการฝังเข็ม สัปดาห์ละ 1 ครั้ง โดยทำประมาณ 3-4 ครั้งก่อน หากอาการดีขึ้น อาจเว้นระยะเป็น 2-3 สัปดาห์ ต่อ 1 ครั้ง หรืออาจจะหยุดการฝังเข็มได้ ในบางกรณี</span></li>
<li style="text-align: left;"><strong>ต้องมีการเตรียมตัวสัตว์อย่างไรบ้าง ก่อนการฝังเข็ม</strong><span><br/></span> <span>ไม่ต้องมีการเตรียมตัวพิเศษ ใช้ชีวิตได้ตามปกติ</span></li>
<li style="text-align: left;"><strong>การฝังเข็มในสัตว์ รักษาโรคอะไรได้บ้าง</strong><span><br/></span><span>การฝังเข็ม สามารถช่วยรักษาได้หลายโรค เนื่องจากเป็นศาสตร์กาแพทย์แขนงหนึ่งของการแพทย์แผนจีน ซึ่งบางโรค อาจต้องทำการฝังเข็ม ร่วมกับการให้ยาสมุนไพรจีน จึงจะได้ผล แต่ในกรณีเฉพาะฝังเข็มอย่างเดียว จะเน้นรักษาโรคทางด้านระบบประสาท การปวดต่างๆ ซึ่งโรคเหล่านี้ใช้การฝังเข็มเพียงอย่างเดียวก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจแล้ว</span></li>
<li style="text-align: left;"><strong>เวลาทำการของคลินิกฝังเข็ม โรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การนัดทำฝังเข็มสามารถทำนัดเองได้หรือไม่</strong><span><br/></span><span>เปิดทำการ จันทร์ – ศุกร์ เวลา 8.00-15.00 น.</span><span><br/></span>หากเป็นสัตว์ป่วยของทางโรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ สามารถโทรนัดเอง หรือให้สัตวแพทย์เจ้าของไข้นัดให้ได้เลย ที่เบอร์โทร 088-499-3473 หรือ 02-218-9415<span><br/></span><span>หากยังไม่เคยมาที่โรงพยาบาลสัตว์เล็ก จุฬาฯ ให้นำใบส่งตัวมาพบสัตวแพทย์ที่แผนกอายุรกรรมเพื่อดูอาการเบื้องต้นให้ครบถ้วน และทำการนัดหมายให้อีกครั้งหนึ่ง</span></li>
</ol>ตอบ 10 ปัญหาโรคผิวหนัง ที่ทุกคนสงสัย2019-07-22T18:53:04+00:002019-07-22T19:02:06+00:00mumuhttps://www.mumupetguide.com/blog/author/mumu/https://www.mumupetguide.com/blog/%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%9A-10-%E0%B8%9B%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%9C%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%87-%E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A2/<p style="text-align: left;"><span>ปัญหาเรื่องผิวหนัง เป็นปัญหาอันดับ 1 ที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงพบเจออยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ ตั้งแต่เรื่องการอาบน้ำ เช็ดหู ไปจนถึงปัญหาอาการคัน ขี้เรื้อน และโรคผิวหนังอื่นๆ อีกสารพัด วันนี้คุณหมอจากคลินิกผิวหนัง โรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ มาไขข้อข้องใจตอบ 10 ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังที่มีเจ้าของน้องหมาน้องแมวถามกันมาบ่อยที่สุด เนื่องในโอกาสครบรอบ 84 ปี คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สมาร์ทฮาร์ท โซเอทิส และ application สำหรับสัตว์เลี้ยง MUMU Petguide ในโครงการ Smart Vet Smart Society เพื่อส่งเสริมสุขภาพสัตว์เลี้ยงให้ดีขึ้น และจบทุกปัญหากวนใจเรื่องโรคผิวหนังของสัตว์เลี้ยงแสนรัก</span></p>
<h4 style="text-align: left;"><span>คลินิกผิวหนัง </span></h4>
<ol style="text-align: left;">
<ol>
<li><b>สาเหตุของอาการคัน ในสัตว์เลี้ยงเกิดจากอะไร</b><b>
</b><span><br/></span> <span>ตอบ : อาการคันผิวหนังเกิดได้จากหลายสาเหตุ ปัจจัยเบื้องต้น เช่น การมีเห็บหมัด สุขลักษณะของการเลี้ยงดู วิธีการอาบน้ำ หรือการเลือกแชมพู ซึ่งหากมีการป้องกันและดูแลอย่างเป็นประจำแล้วสุนัขยังมีอาการคัน อาจเกิดได้จากสาเหตุอื่น เช่น โรคติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา โรคภูมิแพ้ ซึ่งควรพามาพบสัตวแพทย์เพื่อหาสาเหตุของโรคต่อไป</span><span>
</span></li>
<li><b>สัตว์เลี้ยงที่เป็นขี้เรื้อน สามารถติดต่อสู่คนหรือไม่</b> <span><br/></span>ตอบ : โรคขี้เรื้อนในสัตว์เลี้ยง มี 2 ประเภท ซึ่งเกิดจากปรสิตที่แตกต่างกัน<br/><span>ขี้เรื้อนแห้ง อาการคือ สุนัขจะคันมาก มักเกิดในตำแหน่งใบหู และข้อศอก ซึ่งสามารถติดคนและสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆได้</span><span>
<br/></span><span>ขี้เรื้อนเปียก ส่วนมากจะเกิดในสุนัขเด็ก หรือสุนัขอายุมากที่เป็นโรคที่ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายต่ำ</span><span>
</span><span>ซึ่งไม่ติดต่อสู่คนและสัตว์เลี้ยง</span><span>
</span></li>
<li><b>ควรอาบน้ำสุนัขสัปดาห์ละกี่ครั้ง</b><b>
</b><span><br/></span> <span>ตอบ : ในสุนัขที่มีสภาพผิวหนังและขนปกติแนะนำให้อาบน้ำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และเป่าขนให้แห้งสนิท การอาบน้ำที่บ่อยเกินไปอาจไปชะล้างความชุ่มชื้นที่ผิวหนังทำให้เกิดผิวแห้ง และเป็นโรคผิวหนังตามมาได้ หากสุนัขเป็นโรคผิวหนัง เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ควรใช้แชมพูยาตามที่สัตวแพทย์แนะนำ ซึ่งอาจจะต้องอาบน้ำบ่อยกว่าสุนัขทั่วไป</span><span>
</span></li>
<li><b>เหตุใดสัตว์เลี้ยงที่เป็นโรคภูมิแพ้ถึงรักษาไม่หายขาด</b><b>
</b><span><br/></span> <span>ตอบ : สัตว์เลี้ยงที่มีอาการคัน ผิวหนังแดง จากโรคภูมิแพ้อยู่เป็นประจำ เนื่องจากสัตว์เลี้ยงยังได้รับสิ่งที่กระตุ้นการแพ้ (Allergen) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมีสาเหตุมาจาก 2 ปัจจัย</span><span>
</span><span>คือ อาหาร และสิ่งแวดล้อม เช่น ไรฝุ่น หญ้า เกสรดอกกไม้ เป็นต้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ยากที่จะหลีกเลี่ยงได้100% จึงทำให้เกิดอาการต่อเนื่อง หรือเป็นๆหายๆ ควรได้รับการรักษาจากสัตวแพทย์</span><span>
</span></li>
<li><b>อาหารมีผลกับผิวหนังสุนัขหรือไม่</b> <span>
<br/></span> <span>ตอบ : มีผล เนื่องจากผิวหนังและเส้นขนของสุนัขก็ต้องการวิตามิน แร่ธาตุต่างๆ เป็นองค์ประกอบทำให้ขนและผิวหนังเงางาม การเลี้ยงสุนัขด้วยอาหารที่ไม่มีคุณภาพ หรือขาดความสมดุลขององค์ประกอบ สามารถทำให้ผิวหนังแห้ง ขาดความขุ่มชื้น ขนร่วง มีสะเก็ดตามตัว เป็นต้น </span><span>
</span><span>ในอีกกรณีคือ สัตว์ที่เป็นโรคภูมิแพ้อาหาร โรคนี้จะทำให้เกิดอาการคัน ผิวหนังแดง ส่วนมากมักจะแพ้โปรตีนที่มาจากสัตว์ การแก้ไขคือเปลี่ยนเป็นอาหารสำหรับโรคภูมิแพ้ </span><span>
</span></li>
<li><b>จำเป็นต้องทำความสะอาดหูสัตว์เลี้ยงหรือไม่</b><b>
</b><span><br/></span> <span>ตอบ : ควรมีการล้างทำความสะอาดหูสัตว์เลี้ยง สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เช่นเดียวกับการอาบน้ำ เนื่องจากในช่องหู มีการผลิตขี้หู ซึ่งหากไม่เคยล้างทำความสะอาด อาจทำให้เกิดสภาวะที่ง่ายต่อการติดเชื้อ เป็นโรคหูอักเสบตามมา ความถี่ในการทำความสะอาดหูแตกต่างกัน สายพันธุ์ที่ขนยาวและหูตก อาจต้องทำความสะอาดบ่อยกว่าพันธุ์ที่ขนสั้นและหูตั้ง</span><span>
</span></li>
<li><b>หากสุนัขหรือแมวที่เลี้ยงอยู่เป็นเชื้อรา ต้องดูแลรักษาอย่างไร สามารถติดคนได้หรือไม่</b><b>
</b><span><br/></span> <span>ตอบ : การรักษาเชื้อราควรจะรักษาในหลายๆวิธีประกอบกัน เช่น การใช้แชมพูอาบน้ำที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อรา การใช้ยาทาภายนอก และการรับประทานยากิน ซึ่งเชื้อราสามารถติดสู่สัตว์เลี้ยงตัวอื่น และติดคนได้</span><span>
</span><span>ดังนั้นจึงควรแยกตัวที่เป็นเชื้อราออกจากตัวอื่นๆ อีกทั้งเจ้าของสัตว์เลี้ยงควรเลี้ยงทำความสะอาดบริเวณที่สัมผัสกับสัตว์ให้บ่อยครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ติดเชื้อราจากสัตว์เลี้ยง </span><span>
</span></li>
<li><b>การทาขมิ้นชัน สามารถรักษาโรคผิวหนังได้จริงหรือไม่ </b><b>
</b><span><br/></span> <span>ตอบ : คุณสมบัติของขมิ้นช่วยบรรเทาอาการคัน และต้านเชื้อแบคทีเรียได้บ้าง แต่การนำมาใช้ยังต้องผ่านกระบวนการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม เพื่อให้ทราบถึงขนาดความเข้มข้น และความถี่ที่สามารถออกฤทธิ์ดังกล่าวได้ อีกทั้งไม่มีฤทธิ์ในการรักษาไรขี้เรื้อน ซึ่งหากใช้ขมิ้นชันแล้วอาการไม่ดีขึ้น แนะนำให้พามาตรวจวินิจฉัยและรักษาโดยสัตวแพทย์</span><span>
</span></li>
<li><b>สุนัขที่เลียอุ้งเท้าบ่อยๆ เกิดจากสาเหตุใด </b><b>
</b><span><br/></span> <span>ตอบ : การเลียอุ้งเท้าในสุนัข อาจเป็นหนึ่งในอาการคัน ที่เจ้าของสามารถสังเกตพบได้ ซึ่งต้องรักษาหรือไม่ ขึ้นกับความรุนแรง หากเลียเท้าบ้าง นานๆครั้งผิวหนังบริเวณอื่นยังดูปกติ อาจเป็นพฤติกรรมของสุนัข แต่หากเลียตลอดเวลา ผิวหนังแดงอักเสบมาก ควรพบสัตวแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษา</span><span>
</span></li>
<li><b>สุนัขที่เป็นโรคผิวหนัง ต้องโกนขนหรือไม่</b><b>
</b><span><br/></span> <span>ตอบ : แนะนำให้โกนขน เนื่องจากจะได้เห็นรอยโรคที่ผิวหนังชัดเจน ทายาได้ตรงตำแหน่งที่เป็นโรค</span><span>
</span><span>ลดความอับชื้นของผิวหนัง ส่งผลให้การรักษาหายเร็วขึ้น แต่ในกรณีของการติดเชื้อรา การโกนขนอาจทำให้สปอร์เชื้อราแพร่กระจายได้ ดังนั้นควรเก็บกวาดอย่างรวดเร็วและมิดชิด </span></li>
</ol>
</ol>
<p style="text-align: left;"><span></span></p>10 เคล็ดไม่ลับเลือกอาหารให้สัตว์เลี้ยงแข็งแรง2019-07-22T18:32:09+00:002019-07-22T18:32:54+00:00mumuhttps://www.mumupetguide.com/blog/author/mumu/https://www.mumupetguide.com/blog/10-%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%82%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87/<p style="text-align: left;"><span>เทรนด์เรื่องการกินให้สุขภาพดี ไม่ได้มาแรงเฉพาะในหมู่ผู้ที่รักสุขภาพเท่านั้น เพราะบรรดาเจ้าของน้องหมาน้องแมว ก็เริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เหมือนกัน เพราะการกินอาหารที่ดีมีโภชนาการครบครัน ส่งผลให้น้องหมาน้องแมวแสนรักมีอายุยาวนานขึ้นกว่าการให้กินอาหารแบบไม่ใส่ใจ แถมยังช่วยลดโรคร้ายที่จะเกิดขึ้นได้ และยังทำให้น้องหมาน้องแมวเราสดใสอ่อนวัยกว่าเพื่อน 4 ขาที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันด้วยนะ</span></p>
<p style="text-align: left;"><span>เนื่องในโอกาสครบรอบ 84 ปี คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้ร่วมกับ สมาร์ทฮาร์ท โซเอทิส และ application สำหรับสัตว์เลี้ยง MUMU Petguide ในโครงการ Smart Vet Smart Society เพื่อส่งเสริมสุขภาพสัตว์เลี้ยงให้ดีขึ้น โดยจะมาร่วมไขข้อข้องใจเรื่องสุขภาพที่พบบ่อยในสัตว์เลี้ยง วันนี้คุณหมอจากคลินิกโภชนาการ โรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ อาสามาเล่าให้ฟังถึง 10 เคล็ดไม่ลับเรื่องการให้อาหารน้องหมาน้องแมวที่จะช่วยให้สัตว์เลี้ยงของเรามีสุขภาพดี๊ดี และมีอายุยืนยาวเป็นเพื่อนรักของเราไปอีกนานแสนนาน</span></p>
<p style="text-align: left;"></p>
<p style="text-align: left;"><b>คำถาม 1 : อาหารอะไรบ้างที่สุนัขกินไม่ได้ หรือไม่ควรกิน</b></p>
<p style="text-align: left;"><span>คำตอบ : อาหารที่เป็นพิษกับสุนัขอาจจะเป็นของที่เจ้าของชอบกิน และคิดว่าอร่อย ได้แก่</span></p>
<ol style="text-align: left;">
<li><span>ช็อกโกแลต กาแฟ และคาเฟอีน เนื่องจากมีสารประกอบที่ชื่อว่า methylxanthine ซึ่งอยู่ในเมล็ดโกโก้ มีผลทำให้อาเจียน ท้องเสีย หอบ ปัสสาวะบ่อย ใจสั่น กล้ามเนื้อสั่นเกร็ง จนอาจถึงขั้นชัก และหัวใจวาย และเสียชีวิตได้</span></li>
<li><span>องุ่น หรือลูกเกด เนื่องจากทำให้ไตวายได้ </span></li>
<li><span>ถั่วแมคคาเดเมีย เนื่องจากทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึม อาเจียน กล้ามเนื้อสั่นเกร็ง เป็นอัมพาตได้ มักมีอาการหลังจากการกิน 12 ชั่วโมง</span></li>
<li><span>หัวหอม กระเทียม เนื่องจากทำให้เม็ดเลือดแดงแตก</span></li>
<li><span>นมวัว เนื่องจากมีน้ำตาลชื่อ แลคโตส ซึ่งสัตว์ไม่สามารถย่อยน้ำตาลชนิดนี้ได้ ส่งผลให้ท้องเสีย และท้องอืดได้</span></li>
<li><span>เกลือ และขนมที่มีรสเค็ม เนื่องจากการได้รับเกลือมากเกินไปจะทำให้สัตว์กระหายน้ำมาก และปัสสาวะมากกว่าปกติ หรือถ้าได้รับเกลือมากเกินไป จะทำให้เกิดความเป็นพิษจากโซเดียมซึ่งเป็นส่วนประกอบของเกลือ กล่าวคือมีอาการอาเจียน ท้องเสีย ซึม กล้ามเนื้อสั่นเกร็ง อาจถึงขั้นชักและเสียชีวิตได้ ดังนั้นควรระวังการให้ขนมที่มีรสชาติเค็มมากๆเช่น มันฝรั่งอบกรอบ หรือข้าวโพดคั่วรสเค็ม แก่สัตว์เลี้ยง </span></li>
<li><span>น้ำตาล xylitol เป็นสารปรุงรสหวานในหลายผลิตภัณฑ์ เช่นหมากฝรั่ง ขนมหวานหลายชนิด และยาสีฟัน ซึ่งสารนี้จะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งมีหน้าที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง และนำไปสู่ภาวะตับวายอีกด้วย อาการแสดงจะเห็นว่ามีอาการอ่อนแรง เสียความสามารถในการทรงตัว </span></li>
<li><span>แป้งยีสต์ แป้งขนิดนี้เป็นแป้งที่เกิดการหมัก ยีสต์จะมีการสร้างแก๊สออกมา สะสมในทางเดินอาหารเยอะมาก ส่งผลให้ท้องอืดอย่างรุนแรง และอาจทำให้เกิดกระเพาะบิดตามมาได้ นอกจากนี้ยีสต์ยังสร้างแอลกอฮอล์ออกมาด้วย ส่งผลให้เกิดอาการเมา และเสียการทรงตัวได้</span></li>
<li><span>มะพร้าว และน้ำมันมะพร้าว ถ้ากินในปริมาณเล็กน้อยอาจไม่ส่งผลต่อสัตว์มาก ส่วนของเนื้อ แลน้ำมันมะพร้าวประกอบด้วยไขมันปริมาณมาก ซึ่งอาจทำให้สัตว์ท้องอืด หรืออาจจะทำให้ท้องเสียได้ นอกจากนี้ส่วนน้ำของมะพร้าวมีโพแทสเซียมสูงมาก และไม่ควรให้แก่สัตว์เลี้ยง</span></li>
<li><span>ผลไม้ตระกูลส้มและมะนาว เนื่องจากมีกรดซิตริก และน้ำมันหอมระเหย ซึ่งทำให้เกิดการระคายเคือง และ ถ้าได้รับในปริมาณที่มากพอจะทำให้เกิดการกดระบบประสาทส่วนกลางได้ อย่างไรก็ตามการกินผลไม้ปริมาณเล็กน้อย อาจจะไม่ได้ทำให้มีอาการไม่พึงประสงค์อย่างชัดเจน อย่างมากก็แค่ทำให้ทางเดินอาหารทำงานลดลง</span></li>
</ol>
<p style="text-align: left;"><b>คำถามที่ 2 : โรคไตในสัตว์เกิดจากอะไร รักษาหายหรือไม่ </b></p>
<p style="text-align: left;"><span>คำตอบ : โรคไตในสัตว์เลี้ยงนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งการติดเชื้อ ภาวะขาดน้ำ โลหิตจาง สารพิษ ความเสื่อมของไต และ การอุดตันทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น ซึ่งการจะตอบว่ารักษาได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรคนั้นๆ และการฟื้นตัวของสัตว์ หลังจากกำจัดสาเหตุนั้นๆ ออกไปแล้ว </span></p>
<p style="text-align: left;"></p>
<p style="text-align: left;"><b>คำถามที่ 3 : อาหารเม็ดเค็มจริงหรือไม่</b></p>
<p style="text-align: left;"><span>คำตอบ : อาหารเม็ดสำหรับสัตว์นั้น ต้องผ่านการวิเคราะห์คุณค่าทางอาหารมาแล้วระดับหนึ่ง ดังนั้นการจะมีระดับโซเดียมที่มากเกินไปนั้น มักไม่ค่อยเกิดขึ้น อีกทั้งอาหารเม็ดมักผ่านการคำนวณ เพื่อให้มีสารอาหารที่ครบถ้วน และ สมดุล ทั้งสารอาหาร และแร่ธาตุต่างๆ อย่างเหมาะสมกับสุนัขแต่ละช่วงอายุ และสายพันธุ์ ส่วนมากอาหารเม็ดที่ผ่านการขึ้นทะเบียนกับกรมปศุสัตว์แล้ว จึงมักไม่มีรสชาติเค็มเกินไปแน่นอน นอกจากนี้การให้สัตว์เลี้ยงกินอาหารปรุงเอง แล้วทำการปรุงรสลงไปด้วยเกลือแกง ซีอิ๊วขาว อาจทำให้สัตว์ได้รับปริมาณโซเดียมที่เกินได้มากกว่าการให้อาหารสำเร็จรูปเสียอีก</span></p>
<p style="text-align: left;"><span>อันที่จริงแล้วความอร่อยของอาหารสุนัขและแมวไม่ได้อยู่ที่ความเค็ม ดังนั้นการใส่เกลือโซเดียมในการผลิตจึงเป็นการใส่เพื่อผลของความต้องการด้านแร่ธาตุเป็นหลัก ซึ่งหากเจ้าของดมกลิ่นอาหารอาจเข้าใจว่าอาหารเค็มเนื่องจากมีกลิ่นที่ค่อนข้างคาวซึ่งสุนัขและแมวชอบ แต่หากลองชิมแล้วจะทราบเลยว่าจริงๆแล้วอาหารสุนัขและแมวส่วนมากไม่มีความเค็มเลย</span></p>
<p style="text-align: left;"></p>
<p style="text-align: left;"><b>คำถามที่ 4 : ทำไมสัตว์ที่เป็นโรคไตจึงควรกินอาหารโรคไต</b></p>
<p style="text-align: left;"><span>คำตอบ : เนื่องจากในสภาวะปกติ ไตจะทำหน้าที่รองรับเลือดทั้งหมดจากร่างกายเพื่อกรองของเสียออก ไตมีหน่วยย่อยเล็กๆเรียกว่า “หน่วยไต” เลือดทั้งหมดนั้นจะผ่านหน่วยไตทั้งหมด เมื่อสัตว์เป็นโรคไต จะมีหน่วยไตบางส่วนที่เสียไป ส่งผลให้หน่วยไตส่วนที่เหลือต้องรองรับเลือด และหน้าที่กรองของเสียที่หนักขึ้น มีงานวิจัยว่าหากบริโภคโปรตีนมาก จะทำให้เลือดไปที่ไตมากขึ้น ส่งผลให้ไตทำงานหนักขึ้นด้วย ดังนั้นการจำกัดโปรตีนจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดโหลดการทำงานของไต</span></p>
<p style="text-align: left;"></p>
<p style="text-align: left;"><b>คำถามที่ 5 : นิ่วเกิดจากอะไร</b></p>
<p style="text-align: left;"><span>คำตอบ : นิ่วมีหลายชนิด แต่ละชนิดเกิดจากสาเหตุที่แตกต่างกัน ในที่นี้จะพูดถึงนิ่วที่พบบ่อย ได้แก่</span></p>
<ol style="text-align: left;">
<li><span>นิ่วสตรูไวท์ (struvite) ในสุนัขเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ แต่ในแมวมักเป็นแบบไม่ติดเชื้อ </span></li>
<li><span>นิ่วแคลเซียมออกซาเลท (calcium oxalate) นิ่วชนิดนี้มักเกิดจากการได้รับแคลเซียมที่มากเกินไป หรือมีภาวะของเมตาบอลิสมของแคลเซียมที่ผิดปกติ</span></li>
<li><span>นิ่วยูเรต (urate) มักเกิดจากความผิดปกติของตับ </span></li>
</ol>
<p style="text-align: left;"><span>เป็นต้น</span></p>
<p style="text-align: left;"><span>อย่างไรก็ตาม การเกิดนิ่วนั้นเกิดด้วยหลักการตกผลึก ดังนั้นต้องมีปัจจัยเกี่ยวกับความเข้มข้นของปัสสาวะร่วมด้วยเสมอ หากปัสสาวะเข้มข้นมาก ย่อมมีโอกาสในการเกิดนิ่วมากขึ้นตามไปด้วย</span></p>
<p style="text-align: left;"></p>
<p style="text-align: left;"><b>คำถามที่ 6 : อาหารสลายนิ่ว สลายนิ่วได้อย่างไร</b></p>
<p style="text-align: left;"><span>คำตอบ : มีนิ่วเพียงไม่กี่ชนิดที่สามารถละลายได้ด้วยอาหาร โดยการปรับ pH ของปัสสาวะ เพื่อให้นิ่วชนิดที่ละลายได้ สามารถละลายได้ โดยชนิดของอาหารต้องเลือกตามชนิดของนิ่ว โดยต้องใช้ระยะเวลานาน อย่างไรก็ตาม นิ่วที่สามารถละลายได้ส่วนมากจะเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ เนื่องจากมีระยะเวลาที่แช่ในปัสสาวะนานกว่านิ่วในไต และนิ่วในท่อปัสสาวะ นอกจากนี้ในขณะที่กินอาหารสลายนิ่ว ไม่ควรกินอาหารอื่นๆ รวมถึงขนมขบเคี้ยว และอาหารคน เนื่องจากจะทำ pH ของปัสสาวะเปลี่ยน ทำให้ไม่สามารถสลายนิ่วได้ </span></p>
<p style="text-align: left;"></p>
<p style="text-align: left;"><b>คำถามที่ 7 : เบาหวานคืออะไร</b></p>
<p style="text-align: left;"><span>คำตอบ : เบาหวานคือภาวะที่ร่างกายขาดฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีหน้านี้ดึงน้ำตาลในเลือดไปใช้เป็นพลังงานภายในร่างกาย เมื่อขาดฮอร์โมนนี้ทำให้ร่างกายดึงน้ำตาลไปใช้ไม่ได้ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ในขณะเดียวกันก็ทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร ทำให้เห็นว่าน้ำหนักตัวลดลง ทั้งๆที่กินเยอะขึ้น และดูหิวตลอดเวลา ดังนั้นเราจึงต้องรักษาโดยการฉีดอินซูลินให้สัตว์ เพื่อให้สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้ได้นั่นเอง</span></p>
<p style="text-align: left;"></p>
<p style="text-align: left;"><b>คำถามที่ 8 : สัตว์ที่เป็นเบาหวานทานอะไรได้บ้าง </b></p>
<p style="text-align: left;"><span>คำตอบ : ปัญหาในการควบคุมโรคเบาหวานคือปัญหาในการควบคุมน้ำตาลในเลือด ไม่ให้สูงเกินไป และอยู่ในช่วงที่อินซูลินสามารถทำงาน และนำน้ำตาลเหล่านั้นไปใช้ได้อย่างเหมาะสม โดยต้องมีการติดตามผลการรักษาโดยการทำกราฟของน้ำตาลภายหลังจากการฉีดอินซูลิน เพื่อประเมินว่าขนาดของอินซูลินที่ฉีดอยู่สามารถควบคุมเบาหวานได้ดีเพียงใด โดยในการฉีดอินซูลิน ต้องฉีดหลังกินอาหาร วันละ 2 ครั้ง ห่างกัน 12 ชั่วโมง โดยชนิดของอาหารควรจะเป็นชนิดเดียวกันทุกครั้ง เพราะอาหารแต่ละชนิด หลังจากที่กินแล้ว การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือดจะไม่เท่ากัน หากเราเปลี่ยนชนิดอาหาร ก็ไม่แน่ว่าอินซูลินที่ฉีดอยู่ทุกวันนั้นจะสามารถควบคุมน้ำตาลได้หรือไม่ นอกจากนี้ อาหารที่กินควรเป็นอาหารที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ เช่นกลุ่มคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาในการย่อย และปลดปล่อยน้ำตาลออกมาในกระแสเลือด อีกทั้งควรจะมีโปรตีน และไฟเบอร์สูง เพื่อให้สัตว์อิ่มได้นานขึ้น ในการรักษาโรคนี้ ในทางสัตวแพทย์มีอาหารเฉพาะโรคเบาหวานอยู่ แต่หากทานไม่ได้ สามารถให้สัตวแพทย์ประจำแผนกคำนวณอาหารปรุงเองที่เหมาะสมกับสัตว์ได้ เพื่อให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วน แต่สารอาหารอาจไม่สมดุลเท่ากับอาหารสำเร็จรูป อย่างไรก็ตามอาหารแบบปรุงเอง เจ้าของต้องมีความเคร่งครัดในการปรุงตามสูตรที่สัตวแพทย์คิดให้ โดยชั่งน้ำหนักของส่วนผสมในอาหารให้ตรงตามสูตร ไม่เช่นนั้นอาจไม่ประสบผลสำเร็จในการรักษา ส่วนพวกขนมขบเคี้ยวทุกอย่างจำเป็นต้องงด เนื่องจากจะทำให้คุมระดับน้ำตาลไม่ได้</span></p>
<p style="text-align: left;"></p>
<p style="text-align: left;"><b>คำถามที่ 9 : โรคหัวใจในสุนัขต้องกินยาไปตลอดชีวิตเลยใช่หรือไม่ ทำไมถึงรักษาไม่หายขาด</b></p>
<p style="text-align: left;"><span>คำตอบ : เนื่องจากโรคหัวใจส่วนใหญ่นั้นเป็นโรคของความเสื่อม และการกินยาเป็นแค่การชะลอความเสื่อมที่เกิดขึ้น โดยลดโหลดการทำงานของหัวใจ และในขณะเดียวกันก็ช่วยให้หัวใจบีบตัวเพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ดีขึ้น ดังนั้นการกินยา และมาตรวจเช็คอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะถึงแม้ว่าจะกินยา แต่ความเสื่อมก็ยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงที่ยาในระดับเดิมไม่สามารถคุมอาการต่อไปได้ ต้องปรับเพิ่มยาขึ้นอีก ดังนั้นห้ามขาดยาเด็ดขาดในรายของโรคหัวใจ และจะต้องกินยาไปตลอดชีวิต</span></p>
<p style="text-align: left;"></p>
<p style="text-align: left;"><b>คำถามที่ 10 : ทำไมสัตว์ที่ทำหมันถึงอ้วน และควรกินอาหารอย่างไรดี เคยซื้ออาหารลดความอ้วนมาให้กินก็ไม่เห็นจะผอมลง</b></p>
<p style="text-align: left;"><span>คำตอบ : ประเด็นแรกคือสัตว์ที่ทำหมัน จะทำให้อัตราการเผาผลาญลดลง รวมถึงบางตัวมีผลทำให้ความอยากอาหารมากขึ้นด้วย จึงทำให้สัตว์อ้วนง่ายกว่าปกติ ในการเลือกชนิดของอาหารนั้น ไม่ได้มีหลักการในการเลือกเป็นพิเศษแต่หัวใจหลักของการจัดการเรื่องอาหารนั้นอยู่ที่ปริมาณพลังงานที่สัตว์ได้รับต่อวันมากกว่า ดังนั้นประเด็นหลักอยู่ที่ปริมาณอาหารที่เจ้าของให้สัตว์ หากเจ้าของมีความกังวลเรื่องความอ้วนของสัตว์เลี้ยง การดูปริมาณอาหารตามข้างถุงอาหารอาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดสำหรับสัตว์เลี้ยง หากรู้สึกว่าเริ่มมีปัญหาเรื่องอ้วน ควรปรึกษากับโภชนสัตวแพทย์เพื่อให้คำนวณปริมาณอาหารที่เหมาะสมให้กับสัตว์ และทำการปรับปริมาณเมื่อน้ำหนักตัวลดลง</span></p>
<p style="text-align: left;"><span>ประเด็นเกี่ยวกับอาหารลดความอ้วนที่ว่ากินแล้วน้ำหนักไม่ลดลงนั้น ก็คล้ายคลึงกับที่ได้อธิบายไปในข้างต้นแล้ว ว่าถึงแม้ว่าจะทานอาหารลดความอ้วน แต่กินในปริมาณที่ไม่เหมาะสม สัตว์ก็ได้รับพลังงานเกินที่ควรได้รับ ผลสุดท้ายก็คืออ้วนเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง และอาหารลดความอ้วนมีข้อดีคือการเป็นอาหารที่มีพลังงานต่ำ มีโปรตีน และไฟเบอร์สูง เพื่อให้อยู่ท้อง ทำให้แม้ว่าสัตว์จะบริโภคในปริมาณน้อย ก็สามารถทำให้อิ่มได้นาน หากต้องการลดความอ้วนควรปรึกษาสัตวแพทย์ เพื่อให้คำนวณปริมาณอาหารที่เหมาะสมต่อวันให้สัตว์ รวมถึงติดตามผลของการลดน้ำหนักได้อย่างถูกต้อง กล่าวคือควรลดลงสัปดาห์ละ 1-3% ต่อสัปดาห์ ตามเกณฑ์</span></p>ตอบปัญหา 10 เรื่องแมวๆ ที่ทาสแมวสงสัย2019-07-22T18:27:47+00:002019-07-22T18:30:28+00:00mumuhttps://www.mumupetguide.com/blog/author/mumu/https://www.mumupetguide.com/blog/%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2-10-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B9%86-%E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A2/<p style="text-align: left;">ต้องยอมรับว่าน้องแมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นอกจากความน่ารักในแบบเฉพาะสายพันธุ์แล้ว ยังมีนิสัยใจคอ และความต้องการดูแลเอาใจใส่ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตในปัจจุบัน ทำให้หลายคนหันมาเลี้ยงน้องแมวกันมากขึ้น</p>
<p style="text-align: left;"><br/>เนื่องในโอกาสครบรอบ 84 ปี คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้ร่วมกับ สมาร์ทฮาร์ท โซเอทิส และ application สำหรับสัตว์เลี้ยง MUMU Petguide ในโครงการ Smart Vet Smart Society เพื่อส่งเสริมสุขภาพสัตว์เลี้ยงให้ดีขึ้น โดยจะมาร่วมตอบคำถามเรื่องสุขภาพที่พบบ่อยในสัตว์เลี้ยงโดยวันนี้คุณหมอจากคลินิกแมว โรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ อาสามาตอบ 10 คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับการเลี้ยงแมวที่มักจะมีเจ้าของถามกันบ่อยๆ มาฝากกัน 10<br/>เรื่องนี้ถ้ารู้แล้ว จะช่วยให้คุณเลี้ยงแมวได้ดีขึ้นอีกมากเลยล่ะ</p>
<h4 style="text-align: left;"><br/><strong>CU feline center</strong></h4>
<h4 style="text-align: left;"><br/><strong>แมวจำเป็นต้องทำวัคซีนอะไรบ้าง และเริ่มทำที่อายุประมาณเท่าไหร่</strong></h4>
<p style="text-align: left;">แมวเริ่มวัคซีนเข็มแรกที่อายุ 2 เดือน วัคซีนที่จำเป็นต้องทำสำหรับแมวประเทศไทยในปัจจุบันคือ โรคหัดหวัดแมว โรคพิษสุนัขบ้า และโรคลิวคีเมีย (FeLV) โดยการจะทำวัคซีนของแมวแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของสัตวแพทย์</p>
<p style="text-align: left;"></p>
<h4 style="text-align: left;"><strong>การป้องกันเห็บหมัดในแมวมีวิธีอย่างไรบ้าง</strong></h4>
<p style="text-align: left;">ควรใช้ยาหยอดหลังที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องในการป้องกันเห็บหมัด โดยหยอดหลังแมวเป็นประจำทุกเดือน</p>
<p style="text-align: left;"></p>
<h4 style="text-align: left;"><strong>แมวอาบน้ำได้หรือไม่</strong></h4>
<p style="text-align: left;">เคยมีความเชื่อว่าแมวเป็นสัตว์กลัวน้ำ ไม่สามารถอาบน้ำได้ แต่ความเป็นจริงแล้ว เจ้าของสามารถอาบน้ำให้แมวได้ โดยอาจจะต้องฝึกให้อาบน้ำตั้งแต่แมวยังเด็ก ความถี่ในการอาบน้ำแมวต่างจากสุนัข เพราะแมวเป็นสัตว์รักสะอาด มักจะเลียตัวแต่งตัวอยู่เสมอ</p>
<p style="text-align: left;">การอาบน้ำให้แมวยังมีประโยชน์ในกรณีสำหรับการใช้รักษาโรคผิวหนังในแมวอีกด้วย</p>
<p style="text-align: left;"></p>
<h4 style="text-align: left;"><strong>อาหารแบบไหนที่เหมาะสมสำหรับแมว</strong></h4>
<p style="text-align: left;">อาหารแมวมีทั้งรูปแบบของอาหารสำเร็จรูป และอาหารปรุงเอง (Homemade) ซึ่งแนะนำว่าอาหารสำเร็จรูปเหมาะสมกับแมวมากที่สุด เนื่องจากมีการคำนวณความต้องการ ของสารอาหารสำหรับแมวไว้อย่างครบถ้วน หากให้อาหารปรุงเอง อาจต้องมีการปรุงให้สารอาหารครบถ้วน มิเช่นนั้นอาจเกิดโรคต่างๆ จากสารอาหารที่ไม่เพียงพอได้</p>
<h4 style="text-align: left;"><br/><strong>ควรมีชามน้ำชามอาหารและกระบะทรายจำนวนเท่าไหร่เพื่อให้เหมาะสมกับแมว</strong></h4>
<p style="text-align: left;">แมวเป็นสัตว์รักความสันโดษ จึงควรมีชามน้ำชามอาหารเป็นของตัวเอง และควรมีกระบะทรายให้แมวขับถ่ายมากกว่าจำนวนแมวที่เลี้ยง</p>
<h4 style="text-align: left;"><br/><strong>การทำหมันช่วยแก้ปัญหาพฤติกรรมก้าวร้าวหรือการปัสสาวะไม่เป็นที่ของแมวได้จริงหรือไม่</strong></h4>
<p style="text-align: left;">การทำหมันจะลดการหลั่งฮอร์โมนบางชนิดจึงมีผลให้พฤติกรรมก้าวร้าว หรือการปัสสาวะไม่เป็นที่ในแมวลดลงได้ แต่ในแมวบางตัวที่มีพฤติกรรมดังกล่าวเป็นนิสัยการทำหมันอาจช่วยให้ลดลง แต่ไม่สามารถทำให้การแสดงออกเหล่านั้นหายไปได้</p>
<p style="text-align: left;"></p>
<h4 style="text-align: left;"><strong>เราจำเป็นต้องตรวจโรคลิวคีเมีย (FeLV) และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องในแมว (FIV) เมื่อใด</strong></h4>
<p style="text-align: left;">ปัจจุบันตามสถานพยาบาลสัตว์มีชุดทดสอบโรคไวรัสคือ โรคลิวคีเมีย (FeLV) และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องในแมว (FIV) ซึ่งสามารถใช้ตรวจการติดเชื้อเบื้องต้นก่อนแสดงอาการได้ จึงแนะนำให้ตรวจเมื่อนำแมวเข้ามาเลี้ยงใหม่ หรือก่อนทำวัคซีนโรคลิวคีเมีย (FeLV)</p>
<p style="text-align: left;"></p>
<h4 style="text-align: left;"><strong>หากสังเกตว่าแมวมีความผิดปกติหรือมีอาการป่วย</strong></h4>
<p style="text-align: left;">ควรทำอย่างไรหรือให้การรักษาพยาบาลเบื้องต้นอย่างไรได้บ้าง ควรรีบนำไปพบสัตวแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย ไม่ควรให้ยาหรือรักษาอาการเบื้องต้นก่อนทราบสาเหตุของโรค เพราะการให้ยาโดยไม่ทราบขนาด การออกฤทธิ์และผลข้างเคียงของยาอาจส่งผลเสียต่อแมวได้</p>
<p style="text-align: left;"></p>
<h4 style="text-align: left;"><strong>โรคที่มักพบในแมวแก่มีอะไรบ้าง และสามารถเฝ้าระวังอาการได้อย่างไร</strong></h4>
<p style="text-align: left;">ในแมวแก่มักมีโรคที่พบจากความเสื่อมต่างๆ ได้ เช่น โรคไตวายเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งเจ้าของแมวสามารถสังเกตอาการผิดปกติเบื้องต้น โดยแมวมักมีอาการกินน้ำเยอะ ปัสสาวะเยอะ กินอาหารเยอะแต่ผอม ซึม ไม่มีแรง หากพบความผิดปกติควรรีบไปพบสัตวแพทย์</p>
<p style="text-align: left;"></p>
<h4 style="text-align: left;"><strong>มีความจำเป็นต้องนำแมวที่มีสุขภาพดีมาตรวจสุขภาพหรือทำวัคซีนหรือไม่</strong></h4>
<p style="text-align: left;">แมวที่มีสุขภาพดีควรเข้ารับการฉีดวัคซีนเป็นประจำทุกปี ป้องกันเห็บหมัดทุกเดือน และสามารถถ่ายพยาธิได้ทุก 3-6 เดือน อาจนำมาตรวจสุขภาพหรือเจาะเลือดประจำทุกปีเพื่อตรวจเช็คหาความ ผิดปกติเบื้องต้นก่อนที่แมวจะแสดงอาการป่วย</p>